จี้กำกับรายการทีวีดิจิทัล หลังพบ “ลุยชนข่าว” จำลองปมเสียชีวิต ผกก.โจ้

สภาผู้บริโภคเรียกร้อง กสทช. – องค์กรกำกับดูแลสื่อ – เอเจนซี่โฆษณา ทบทวนบทบาทในการกำกับดูแลเนื้อหารายการทีวีดิจิทัล หลังรายการลุยชนข่าวนำเสนอเนื้อหาจำลองปมเสียชีวิต ผกก.โจ้ ที่อาจละเมิดจรรยาบรรณสื่อ พร้อมย้ำต้องมีมาตรการลงโทษที่ชัดเจนและเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบและกระทบต่อสังคมในวงกว้าง

สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค ระบุว่า การออกอากาศเนื้อหาในลักษณะการจำลองเหตุการณ์การเสียชีวิตของ อดีต ผกก.โจ้ ในรายการลุยชนข่าวที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้นั้นไม่เหมาะสมและอาจละเมิดจรรยาบรรณสื่อ โดยเน้นย้ำว่าทีวีดิจิทัลควรมีมาตรฐานการกำกับดูแลที่เข้มงวดกว่าหรืออย่างน้อยต้องเทียบเท่ากับแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น YouTube หรือ Facebook ซึ่งมีนโยบายกำกับดูแลเนื้อหาในมาตรฐานชุมชน (Community Standards) ที่ห้ามจำลองหรือส่งเสริมพฤติกรรมรุนแรงอยู่แล้ว

“การนำเสนอเนื้อหาที่จำลองเหตุการณ์การเสียชีวิต เช่น การฆาตกรรม หรือการฆ่าตัวตาย อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในสังคม และสื่อควรตระหนักถึงผลกระทบต่อจิตใจของผู้ชม และเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมที่มีการจำลองเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสมไม่ใช่แค่การเตือนอีกต่อไป แต่ต้องมีมาตรการลงโทษที่ชัดเจนและรวดเร็ว ถ้ากฎหมายเข้มแข็ง ช่องทีวีจะต้องระมัดระวังมากกว่านี้” สุภิญญา ระบุ

สภาผู้บริโภคขอเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เร่งพิจารณาและใช้มาตรการที่เข้มข้นในการลงโทษช่องโทรทัศน์ที่กระทำผิด โดยเฉพาะการบังคับใช้มาตรา 37 ของ พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ที่ระบุว่าการออกอากาศเนื้อหาที่เป็นภัยต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนถือเป็นความผิด ทั้งนี้ แนวทางกำกับดูแลที่ชัดเจนสามารถเห็นได้จากตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ที่มีหน่วยงาน Ofcom (The Office of Communications) ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการกระจายเสียง โทรทัศน์ และโทรคมนาคม โดยมีอำนาจในการออกบทลงโทษต่อสถานีโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาละเมิดกฎหมายและมาตรฐานด้านจรรยาบรรณของสื่ออย่างเคร่งครัด

นอกจากการดำเนินการทางกฎหมาย สภาผู้บริโภคยังเรียกร้องให้ช่อง 8 ในฐานะช่องที่เป็นเจ้าของรายการดังกล่าวออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม รวมถึงเอเจนซี่โฆษณาต่าง ๆ ในไทย ทบทวนการสนับสนุนช่องทีวีที่ออกอากาศเนื้อหาไม่เหมาะสมและมีเนื้อหาที่ขาดความรับผิดชอบ โดยชี้ว่าการถอนโฆษณาเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจที่ได้ผลจริง ซึ่งเคยถูกใช้ในหลาย ๆ ประเทศ ยกตัวอย่างกรณีล่าสุดในเกาหลีใต้ เมื่อเกิดกระแสข่าวเกี่ยวกับนักแสดงที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เอเจนซี่โฆษณาหลายแห่งได้ถอนการสนับสนุนจากรายการหรือช่องที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของแบรนด์และหลีกเลี่ยงการสนับสนุนเนื้อหาหรือผู้มีชื่อเสียงที่มีพฤติกรรมขัดต่อจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม

ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารฯ ยังเน้นว่า องค์กรวิชาชีพสื่อควรแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ด้วยการออกมาตรการกำกับดูแลกันเอง และควรมีแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ซ้ำอีก หากไม่มีการตรวจสอบภายในและไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจน ในอีก 5 ปีข้างหน้า เมื่อทีวีดิจิทัลต้องต่อใบอนุญาตใหม่ สังคมจะตั้งคำถามถึงมาตรฐานของวงการสื่อไทยว่ามีคุณภาพพอที่จะได้รับสิทธิ์ใช้คลื่นความถี่สาธารณะหรือไม่

นอกจากนี้ ประชาชนควรมีบทบาทในการกดดันให้ช่องโทรทัศน์และหน่วยงานกำกับดูแลดำเนินการอย่างเหมาะสม โดยการแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดีย หรือการยื่นคำร้องไปยัง กสทช. เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น สภาผู้บริโภคมองว่ากรณีนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ กสทช. เอเจนซี่โฆษณา และองค์กรวิชาชีพสื่อต้องร่วมกันกำกับดูแลสื่อโทรทัศน์ให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้น เพื่อให้ทันกับแนวทางสากล และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันในอนาคต

“สังคมคงต้องถามถึงมาตรฐานที่แท้จริง วัฒนธรรม และคุณภาพของสื่อที่มีต่อผู้บริโภค ดังนั้นสื่อควรจะพยายามพบกันครึ่งทาง ในมุมหนึ่งเข้าใจว่าต้องพยายามอยู่รอดทางธุรกิจ แต่ก็ต้องไม่ล้ำเส้นในเรื่องที่กระทบสังคมมากเกินไป รวมทั้งหากมีการกำกับดูแลที่เข้มแข็งทั้งทางกฎหมายและทางเศรษฐกิจ คิดว่าจะทำให้สื่อไทยพัฒนาขึ้นและสามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว โดยไม่ต้องพึ่งเนื้อหาที่ละเมิดจริยธรรมเพื่อเรียกเรตติ้งเสมอไป” ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารฯ กล่าวปิดท้าย