สภาผู้บริโภคเปิดเวทีสะท้อน ‘ปฏิรูปรถเมล์’ เชื่อโกลาหลอีกรอบ สิ้นส.ค.หยุดเดินรถเพิ่ม 

สิ้นเดือนสิงหาฯ ปฏิรูปเส้นทางเดินรถเมล์ หยุดวิ่งอีก  14 สาย เชื่อโกลาหลแน่ รถน้อย คอยนาน นั่งหลายต่อทำค่าโดยสารพุ่ง สภาผู้บริโภค เล็งทำสมุดปกขาว เสนอกรมการขนส่งทางบก สะท้อนปัญหาบาดแผลคนกรุงฯ ย้ำชัด ปฏิรูปแล้วต้องดีขึ้น คนเข้าถึงบริการได้สะดวก มีรถเพียงพอ ค่าโดยสารถูกลง

จากกรณีรถโดยสารประจำทางในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้ทยอยปฏิรูป 107 เส้นทาง ปรับเปลี่ยนเลขสาย และให้เอกชนเข้ามาเดินรถแทนขสมก.บางเส้นทางก่อนหน้านี้ และตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป จะมีรถโดยสารประจำทาง เส้นทางเดิมอีก 14 สายหยุดให้บริการเดินรถนั้น

วันนี้ 27 สิงหาคม 2567 สภาผู้บริโภค ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เครือข่ายเพจรถเมล์ไทย และเพจ Bangkok bus club จัดแถลงข่าวในหัวข้อ “ทบทวนปฏิรูปรถเมล์ หยุดบาดแผลคนกรุง” ณ ห้องสำลี ชั้น 4 อาคารสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค

เพิ่มผู้รับบริการมีส่วนร่วมกำหนดเส้นทาง

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค  กล่าวถึงความท้าทายงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านขนส่งและยานพาหนะของสภาผู้บริโภค ในการทำให้เกิด “สภาผู้บริโภคผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะ” (User Group) ที่มาจากการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนนโยบาย Road for All ที่จะพัฒนาเมืองและระบบขนส่งสาธารณะไปด้วยกัน ทำให้เกิดเมืองที่ทุกคนมีส่วนร่วม สามารถใช้ชีวิตและพัฒนาร่วมกันได้ในทุกจังหวัด รวมถึงการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและแนวทางกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดบริการขนส่งสาธารณะในพื้นที่ตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนได้

สำหรับประเด็น ขสมก. เตรียมหยุดให้บริการเดินรถเส้นทางเดิม สิ้นเดือนสิงหาคมนี้ สารี กล่าวว่า การยุบเส้นทางเดิมแล้วเหลือแต่เส้นทางปฏิรูปอย่างเดียว เชื่อว่า จะมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่เดือดร้อน ทั้งจากปัญหาค่าโดยสารแพงขึ้น เพราะต่อรถหลายต่อ ปัญหารถน้อย รถไม่พอคอยนาน ดังนั้นจึงอยากให้กรมการขนส่งทางบกกำกับเอกชนให้มีการเดินรถให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้

“การปฏิรูปรถเมล์ ต้องทำให้คนเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก เพียงพอ ด้วยราคาค่าโดยสารที่ถูกลง  ขณะที่เดียวกัน ผู้ใช้บริการควรมีส่วนร่วมในการกำหนดเส้นทางการเดินรถด้วย ซึ่งเร็วๆ นี้ สภาผู้บริโภค เตรียมทำสมุดปกขาว เสนอต่อคณะรัฐมนตรี กรมการขนส่งทางบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงข้อเท็จจริงของปัญหาการให้บริการรถโดยสารประจำทาง เพื่อสร้างมาตรฐานการให้บริการ รวมถึงเรื่องตั๋วร่วม ส่วนข้อถกเถียงเรื่องราคาค่าโดยสาร สภาผู้บริโภคยืนยันว่า ค่าโดยสารต้องไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ ต้นทุนการเดินรถไม่ควรผลักภาระมาให้ผู้บริโภคเป็นผู้จ่าย”เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าว และว่า สภาผู้บริโภคมีข้อเสนอ “รถเมล์ฟรีต้องกลับมา และต้องเป็นรถเมล์แอร์ไม่ใช่รถเมล์ร้อน”

ปฏิรูปรถเมล์ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ด้านนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า หลังปฏิรูปรถเมล์เห็นได้ชัดคือ รถเมล์ไม่เพียงพอในช่วงเวลาเร่งด่วนหลายสาย โดยเฉพาะ 14 เส้นทางที่ ขสมก. เลิกวิ่งหลังวันที่ 31 สิงหาคมนี้ แต่เดิมเคยเป็นเส้นทางวิ่งสายยาว แต่จากนโยบายใหม่ที่ต้องการให้รถเมล์วิ่งระยะสั้นมากขึ้น เป็นผลมาจากแผนปฏิรูปรถเมล์ที่ตั้งเป้าเป็น “1 เส้นทาง 1 ผู้ประกอบการ” และได้กลายเป็นการผูกขาดเส้นทาง ขณะเดียวกันผู้ให้บริการก็มีรถไม่เพียงพอรองรับประชาชนในเวลาเร่งด่วน

นฤมล กล่าวอีกว่า ผลกระทบจากการปฏิรูปรถเมล์ ทำให้ค่าโดยสารที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว อย่างเช่น ราคาโดยสารของเอกชนจากบริษัทไทยสมายล์ บัส เริ่มต้น 15 บาท ขณะที่ ขสมก. เริ่มต้นเพียง 8 บาท คนที่มีรายได้น้อยหากต้องนั่งรถเมล์วันละหลายสายหลายต่อ ค่าแรงจากการทำงานที่ได้มาก็ไม่เพียงพอกับค่ารถ นี่คือ ภาระค่าโดยสารเพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็น

“ปฏิรูปรถเมล์ กรมการขนส่งทางบก ต้องยึดหลักการที่ไม่กระทบประชาชน โดยสิ่งที่ต้องตระหนัก คือ ขสมก.เป็นหน่วยงานที่ให้บริการประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัย และมีค่าโดยสารเริ่มต้น 8 บาท เป็นรถเมล์ขวัญใจคนจน ส่วนรถไทยสมายล์ บัส ประชาชนต้องแบกรับค่าโดยสารเพิ่ม ในเมื่อมีเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้บริการมาตลอด เหตุใด กรมการขนส่งทางบก ในฐานะผู้กำกับดูแล กลับไม่ยอมแก้ปัญหาในภาพรวมเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับบริการที่ดีขึ้น” รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าว และว่า ดังนั้นอยากให้มีการทบทวนการปฏิรูปรถเมล์ โดยเฉพาะเส้นทางที่มีรอยต่อ เพราะผู้มีรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบมากที่สุด รวมถึงอยากให้มีแอปพลิเคชัน มีการประชาสัมพันธ์ เส้นทางเดินรถ ที่ป้ายรถเมล์ หรือจุดจอดรถให้มากกว่านี้  

ส่วนนายอภิสิทธิ์ มานตรี ผู้ดูแลเพจรถเมล์ไทย กล่าวว่า เพจรถเมล์ไทย ในฐานะเครือข่ายผู้บริโภค  เคยร่วมประชุมหารือกับ ขสมก. ในประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของผู้โดยสารรถเมล์ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเส้นทางรถเมล์ ตามโครงการปฏิรูปรถเมล์มาแล้ว โดยเส้นทาง ที่มีการร้องเรียนมากที่สุด และเสนอให้แก้ไขเร่งด่วนที่สุด จำนวน 4 เส้นทาง ได้แก่ สาย 68 แสมดำ- บางลำพู, สาย 195 กรมศุลกากร – เดอะมอลล์ท่าพระ, สาย 205 วงกลมคลองเตย – เดอะมอลล์ท่าพระ,  สาย 511 ปากน้ำ – สายใต้ใหม่ และสาย 65 วัดปากน้ำ (นนท์)-สนามหลวง

“เส้นทางรถเมล์ บางเส้นทาง ที่ยังไม่ได้ประมูล ยังเกิดปัญหาฟันหลอให้บริการไม่ครบ 269 เส้นทาง จึงเชื่อว่า หลังวันที่ 31 สิงหาคม รถเมล์หยุดวิ่งให้บริการเพิ่มอีกจะเกิดความโกลาหลกับการใช้บริการขนส่งสาธารณะในกรุงเทพและปริมณฑลแน่นอน ส่วนเลขสายรถเมล์ ก็สร้างความสับสนให้กับผู้ใช้บริการ จึงอยากให้มีการทบทวนเลขสายรถเมล์แบบใหม่ด้วย” ผู้ดูแลเพจรถเมล์ไทย กล่าว  

เส้นทางเดินรถใหม่ ไร้จุดเชื่อมต่อ

ขณะที่นายมารุต จันทน์โรจน์ ผู้แทนจากเพจ Bangkok bus club กล่าวถึงการปฏิรูปเส้นทางเดินรถเมล์ แม้ภาพรวมการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารจะครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มากกว่าเส้นทางเดิมก็ตาม แต่ก็ทำให้ผู้โดยสารบางส่วนได้รับผลกระทบ จากการไม่สามารถใช้บริการรถเมล์ได้เหมือนเดิม บางพื้นที่รถเมล์ให้บริการน้อยลง และบางพื้นที่ก็ไม่มีรถเมล์วิ่งให้บริการเลย เช่น สาย 205 (3-51) เส้นทางถูกปรับใหม่ หรือสาย 520 เป็นต้น

“การปรับเส้นทางเดินรถใหม่ ไม่มีการคิดถึงจุดเชื่อมต่อ หรือตั๋วร่วม เพื่อให้ผู้ใช้บริการสะดวกขึ้น ราคาถูกลง บางเส้นทางการปฏิรูปที่อ้างเพื่อลดความซับซ้อน กลับทำให้ถนนบางเส้นมีสายรถเมล์วิ่งให้บริการน้อยลง ขณะที่ผู้ใช้บริการไม่ได้น้อยลงเลย เช่น เส้นสุขุมวิท บางซ่อน ฉะนั้น แนวคิดเรื่องเส้นทางทับซ้อน กับจำนวนผู้ใช้บริการ หน่วยงานรัฐควรพิจารณาแก้ปัญหามากกว่าการลด หรือตัดทิ้งเส้นทางเดินรถดังกล่าว”

ผู้แทนจากเพจ Bangkok bus club  ยังกล่าวด้วยว่า เส้นทางเดินรถที่หายไปในแผนปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ 7 ปี พบว่า หลายเส้นทางไม่สอดคล้องกับความต้องการ หรือสภาพบ้านเมืองในปัจจุบัน ดังนั้น  ถึงเวลาทบทวนเส้นทางทีมีปัญหาจากการปฏิรูปรถเมล์ “เราได้ทิ้งใครไว้ข้างหลังหรือไม่  เราต้องรักษาบาดแผลคนกรุงฯ ด้วยการทบทวนปฏิรูปรถเมล์โดยด่วน”

เตรียมยื่นกรมขนส่งฯ ให้ทบทวนการปฏิรูป

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เตรียมยื่นข้อเสนอต่อกรมการขนส่งทางบกในวันที่ 3 กันยายน 2567 โดยขอให้มีทบทวนการปฏิรูปเส้นทางรถรถเมล์โดยสารในกรุงเทพฯ โดยขอให้ทบทวนข้อกำหนด 1 เส้นทาง 1 ผู้ประกอบการ ที่ทำให้ไม่มีรถเพียงพอกับประชาชนที่ใช้บริการ, มีมาตรการจัดการระบบรถโดยสารให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ จัดให้มีเส้นทางการเดินรถเมล์โดยสารที่สะดวกรวดเร็ว เสนอให้มีป้ายรถเมล์ที่บอกรายละเอียดเส้นทางเดินรถจากจุดเริ่มต้น เส้นทางที่ผ่าน และจุดหมายปลายทางทุกป้ายรถเมล์ , ส่วนรถร้อนต้องมีเหมือนเดิมและราคาต้องเป็นมาตรฐานเดียว ,สิทธิผู้สูงอายุรวมถึงผู้มีบัตรสวัสดิการของรัฐต้องสามารถใช้บริการของเอกชนได้ ,เสนอให้มีระบบเชื่อมต่อรถเมล์โดยสารระหว่างรัฐวิสาหกิจและเอกชน แต่ค่าโดยสารต้องไม่เกิน 30 บาทต่อวัน เป็นต้น