สืบเนื่องจากการปฎิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมถึงเลขาธิการ กสทช. ที่กำลังจะสร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภค กรณีการควบรวมค่ายมือถือ ทรู – ดีแทค นั้น สภาองค์กรของผู้บริโภคเตรียมเดินหน้า ฟ้องร้องต่อศาลและสำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) กับการทำหน้าที่ของ กสทช. และเลขาธิการ โดยจัดเป็น “โปรโมชัน” ชุดใหญ่ในเดือนกันยายนนี้ ได้แก่ :
โปรโมชันที่ 1 พิเศษเฉพาะเลขาธิการ
มอบให้นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จากการเปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความอำนาจการพิจารณาการควบรวมว่าไม่ได้เป็นอำนาจของ กสทช. ซึ่งในการออกข่าวประเด็นที่บิดเบือนนี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญของประเด็นข่าวที่เป็นที่จับตาของสังคม และก่อให้เกิดความสับสนต่อผู้บริโภคทั่วประเทศ ที่มีความคาดหวังต่อการทำหน้าที่ของ กสทช. อย่างแท้จริง ขณะที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความในทางตรงกันข้ามว่า กสทช. มีอำนาจพิจารณา
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่ กสทช. ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในประเด็นข้อกฎหมาย เพื่อตีความอำนาจพิจารณาการรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค และเมื่อสำนักงาน กสทช. ได้รับหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อส่งต่อให้ประธาน กสทช. นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในลำดับต่อไป
โดยในหนังสือฉบับดังกล่าวได้รายงานว่า กฎหมายรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ตามประกาศ กสทช. ปี 2553 ที่กำหนดให้การรวมธุรกิจต้องได้รับอนุญาตจาก กสทช. ก่อนนั้น ได้ถูกยกเลิกแล้วโดยมีประกาศ กสทช. ปี 2561 ขึ้นมาแทน ซึ่งกำหนดให้การรวมธุรกิจกระทำได้โดยจัดทำรายงานส่งให้ กสทช. โดย กสทช. มีอำนาจเพียงกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะสำหรับผู้มีอำนาจเหนือตลาดมาบังคับใช้เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งเนื้อหาหลักคือการตีความว่า กสทช. มีอำนาจอนุญาตและไม่อนุญาต ต่อการควบรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม
โปรโมชันที่ 2 พิเศษ สำหรับกรรมการกสทช. ด้วยมาตรา 157
ในกรณีที่จะออกมาตรการ 14 มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่อ่อนยวบไม่มีความหมาย หากอนุญาตให้มีการควบรวม
จากการเฝ้าติดตาม พบว่า สำนักงาน กสทช. มีแนวโน้มเห็นด้วยกับการควบรวม และได้เตรียมการเสนอ 14 มาตรการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคให้กรรมการ กสทช.พิจารณา แต่เป็นที่ประจักษ์ว่ามาตรการเหล่านี้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และหากมีการควบรวมเกิดขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ให้บริการในธุรกิจนี้จะลดลงจาก 3 ราย เหลือเพียง 2 ราย ซึ่งอาจจะเป็นการผูกขาดทางการตลาดโทรคมนาคม และแน่นอนว่าราคาการให้บริการตลาดมือถือจะมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก
โปรโมชันที่ 3 โปรสองเด้ง ผลประโยชน์ทับซ้อน สำนักงาน กสทช.
จากกรณีที่สำนักงาน กสทช. ได้จัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้ขออนุญาตควบรวม การที่ผู้บริหารระดับสูงของ ทรู ถือหุ้นในบริษัทที่ปรึกษา บริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่นั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดตามระเบียบ
โปรโมชันที่ 4 ลดแลกแจกพิเศษกับรายการ กสทช. เผชิญหน้า ปปช. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ)
โปรฯ นี้จะแจกให้ กสทช. หากการพิจารณาของ กสทช. ไม่รักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการพัฒนากิจการโทรคมนาคม เป็นอำนาจของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ กสทช. ดังนั้น เครือข่ายผู้บริโภคขอท้าให้ กสทช. ไปพบกันที่ ป.ป.ช. และอาจได้แพ็กเกจ “ยุติการปฎิบัติหน้าที่” อย่างจุใจ
ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค และเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศ มีมาตรการและการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้
1. แถลงข่าวจุดยืนขององค์กรผู้บริโภค วันที่ 22 กันยายน 2565 เวลา 14.00 น. ถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กแฟจเพจสภาองค์กรของผู้บริโภค
2. วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน 2565 “ควบรวมทรูดีแทคเพิ่มทางเลือกหรือสร้างภาระให้ผู้บริโภค” จัดโดยหน่วยงานประจำจังหวัดพะเยา
3. วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 เวลา 10.00 น. เครือข่ายองค์กรของผู้บริโภคและสภาองค์กรของผู้บริโภคยื่นหนังสือต่อประธาน กสทช. เพื่อให้สอบสวนการปฏิบัติหน้าที่ของรักษาการเลขาธิการกสทช.
4. วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 สมาคมผู้บริโภคสงขลาและเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้ พร้อมใจยื่นจดหมาย 9 จังหวัด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และ กสทช. เขต คัดค้านการควบรวมและให้สอบสวนเลขาธิการกสทช.
และ 5. วันอังคารที่ 27 กันยายน 2565 นำเสนอ 14 มาตรการอ่อนยวบในการคุ้มครองผู้บริโภคหลังจากอนุญาตให้ควบรวม