Getting your Trinity Audio player ready...
|

สภาผู้บริโภคจี้ คปภ. ทบทวนมาตรการ Copayment อ้างแก้ค่ารักษาแพงแต่กลับไม่แตะปัญหาต้นเหตุ แถมกำหนดอัตราร่วมจ่ายสูงถึง 30-50% ไร้หลักเกณฑ์รองรับ ซ้ำเสี่ยงเปิดช่องปฏิเสธความคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง
หลังตัวแทนสภาผู้บริโภคเข้ายื่นหนังสือและประชุมร่วมกับผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นั้น
มลฤดี โพธิ์อินทร์ รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรมสภาผู้บริโภคระบุว่า สภาผู้บริโภคและเครือข่ายภาคประชาชนมีความกังวลต่อมาตรการ “ร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล” ในระบบประกันสุขภาพ โดยชี้ว่ามาตรการดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมเกินจริงได้ และอาจยิ่งเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
แม้ คปภ. จะมีเจตนาควบคุมพฤติกรรมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล แต่การผลักภาระให้ผู้ป่วยต้องร่วมจ่าย ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงถึง 30-50% อาจไม่ใช่คำตอบที่ตรงจุด โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางที่มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
“มาตรการร่วมจ่ายในระบบประกันสุขภาพเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคอย่างชัดเจน หากไม่มีการทบทวนอย่างรอบด้านย่อมส่งผลกระทบในระยะยาวโดยเฉพาะในกลุ่มโรคที่เกิดขึ้นบ่อยในเด็กและผู้สูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการความคุ้มครองทางสุขภาพมากเป็นพิเศษ” มลฤดี ระบุ
ในการหารือดังกล่าว คปภ. ยอมรับว่าหลักเกณฑ์ของมาตรการร่วมจ่าย หรือ Copayment ยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในกรณีโรคเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases) ที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น ท้องร่วง ปอดบวม กระเพาะและลำไส้อักเสบ ต้อกระจก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ซึ่งยังไม่มีการกำหนดแนวทางรองรับที่ชัดเจน ทั้งที่กลุ่มผู้สูงอายุมีความเสี่ยงด้านสุขภาพสูงและจำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสม สอดคล้องกับข้อมูลสถิติของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2566
ขณะเดียวกันสภาผู้บริโภคยังได้ตั้งข้อสังเกตต่อปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ ซึ่งมีสาเหตุหลักจากค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปีโดยไม่มีมาตรการควบคุมต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม
แม้ คปภ. จะอ้างว่าการออกมาตรการร่วมจ่ายเป็นแนวทางในการยับยั้งการเรียกร้องค่ารักษาที่ไม่สมเหตุสมผล แต่สภาผู้บริโภคเห็นว่าเป็นการแก้ไขปัญหาผิดจุด เพราะต้นตอของปัญหาอยู่ที่ราคาค่ารักษาพยาบาลที่ไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม คปภ. ระบุว่าจะนำข้อเสนอเหล่านี้ไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงเกณฑ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
“จากข้อมูลเรื่องร้องเรียนที่เรารวบรวมพบว่าค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม เช่น น้ำเกลือที่มีต้นทุนเพียง 45 บาทแต่ถูกคิดราคาถึง 900 บาทหรือมากกว่า 20 เท่า ซึ่งสะท้อนชัดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้ป่วยเรียกร้องมากเกินไป แต่อยู่ที่ต้นทุนการรักษาที่แพงเกินจริง” มลฤดี กล่าว
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคยังตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการกำหนดอัตราร่วมจ่ายสูงถึง 30-50% ว่ามีที่มาจากหลักเกณฑ์หรือข้อมูลใด อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนในการนิยามคำว่า “โรคเจ็บป่วยเล็กน้อย” ซึ่งอาจถูกใช้เป็นช่องโหว่ในการปฏิเสธความคุ้มครอง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีภาวะแทรกซ้อนหลายโรค
ทั้งนี้แม้ คปภ. จะยืนยันว่ามาตรการร่วมจ่ายเป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกของกรมธรรม์ประกันสุขภาพแต่ก็ยังไม่มีการประเมินผลกระทบระยะยาวที่ชัดเจนต่อผู้บริโภค

ด้วยเหตุนี้สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องให้ คปภ. ทบทวนมาตรการร่วมจ่าย หรือ Copayment อย่างโปร่งใสและชะลอการบังคับใช้ออกไปก่อนจนกว่าจะมีแนวทางควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนที่ชัดเจน รวมทั้งเสนอให้มีมาตรการกำกับดูแลตัวแทนขายประกันไม่ให้บิดเบือนข้อมูลหรือใช้กลยุทธ์ที่อาจหลอกลวงผู้บริโภค โดยเฉพาะการเสนอขายกรมธรรม์ร่วมจ่ายว่าเป็นตัวเลือกที่ “คุ้มค่า” (เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง : หากถูกกดดันซื้อประกันแบบร่วมจ่าย ยกเลิกสัญญาได้ทันที) ทั้งที่ในความเป็นจริงอาจผลักภาระให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เสนอให้มีสภาผู้บริโภค ผู้แทนผู้บริโภคตามกฎหมายอยู่ในคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านประกันภัย
“การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาทั้งจากสภาผู้บริโภคและผู้บริโภคทั่วไปสะท้อนอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครต้องการตกเป็นเหยื่อของนโยบายที่ขาดการพิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้าน จึงขอเรียกร้องให้ คปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนมาตรการร่วมจ่ายและชะลอการบังคับใช้ก่อน เพราะสุขภาพไม่ควรถูกมองเป็นเพียงตัวเลขเชิงธุรกิจ แต่คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงได้รับ” มลฤดี กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง