แอปกู้เงินเถื่อน กับดักหนี้ยุคดิจิทัล ที่ยังไร้การควบคุม

กับดักมิจฉาชีพที่เปิดแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน ได้ล่อเหยื่อที่มีความเดือดร้อนทางการเงินตกหลุมพรางเป็นจำนวนมาก แต่เป็นที่น่ากังวลใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่า แอปฯ กู้เถื่อนเหล่านี้สามารถเปิดได้อย่างไร้หน่วยงานรัฐควบคุม

ปัญหานี้จึงกลายเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วนเพื่ออุดช่องโหว่และเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค

ช่องว่างทางกฎหมายที่ผู้บริโภคต้องการให้เติมเต็ม

แอปฯ กู้เงินกำลังกลายเป็นดาบสองคมสำหรับผู้บริโภค ในขณะที่บางแอปฯ เป็นแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่าย แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อหาประโยชน์จากผู้กู้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินจริง การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล และวิธีทวงหนี้ที่ข่มขู่คุกคาม
กรณีข้างต้น โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค ชี้ว่า แม้ ธปท. จะเป็นหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลธุรกิจสินเชื่อในระบบ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าขอบเขตอำนาจของ ธปท. ยังไม่ครอบคลุม “ตัวแอปพลิเคชัน” โดยตรง ทำให้แอปฯ กู้เงินเถื่อนจำนวนมากสามารถดำเนินการได้โดยไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งการที่ ธปท. กำกับดูแล “ธุรกิจสินเชื่อ” แต่ไม่ได้มีอำนาจควบคุมตัวแอปพลิเคชันโดยตรง หมายความว่าแอปฯ ที่ไม่ได้รับอนุญาตสามารถแฝงตัวอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยที่ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการถอดถอนหรือป้องกันไม่ให้เข้าถึงผู้บริโภค

ข้อจำกัดการกำกับดูแลแอปกู้เงินเถื่อน

พีรจิต ปัทมสูต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ปัจจุบัน ธปท. มีอำนาจกำกับดูแลเฉพาะสินเชื่อที่คิดดอกเบี้ยเกิน 15% ซึ่งรวมถึงธนาคาร สถาบันการเงิน และผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ที่ต้องขอใบอนุญาตและอยู่ภายใต้กฎระเบียบของรัฐ อย่างไรก็ตาม ผู้ให้กู้ที่คิดดอกเบี้ยต่ำกว่า 15% ไม่ต้องขออนุญาตจาก ธปท. และอยู่นอกเหนือการกำกับดูแลโดยตรง

“กรณีข้างต้นอาจเปิดช่องให้แอปฯ กู้เงินบางส่วนอาศัยกลไกนี้ในการดำเนินธุรกิจ โดยไม่ต้องขออนุญาต” พีรจิต ระบุ

ช่องโหว่ทำประชาชนตกเป็นเหยื่อแอปกู้เงินเถื่อน

เรื่องร้องเรียนจากสภาผู้บริโภคช่วงที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาหลักของแอปฯ กู้เงินเถื่อน ไม่ใช่แค่การคิดดอกเบี้ยแพงเกินควร แต่รวมถึงการขอสิทธิเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวในโทรศัพท์มือถือ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ รูปภาพ และข้อความ โดยไม่มีเหตุผลที่สมควร อีกทั้งยังมีการทวงหนี้ที่ละเมิดสิทธิ เช่น ส่งข้อความข่มขู่ หรือแม้กระทั่งประจานลูกหนี้ต่อญาติพี่น้องหรือบุคคลรอบข้าง โดยไม่มีใครหรือหน่วยงานใดคอยตรวจสอบหรือปกป้องผู้ใช้งาน

“ผู้บริโภคจำนวนมากไม่รู้ว่าแอปพลิเคชันที่ตนเองใช้งานนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของใคร หรือแม้แต่ได้รับอนุญาตหรือไม่ การไม่มีหน่วยงานกลางที่ดูแลแอปกู้เงินอย่างชัดเจน ทำให้ผู้ให้บริการเถื่อนสามารถอาศัยช่องโหว่นี้เพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค” โสภณ เผย

หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองฯ สภาผู้บริโภค เห็นว่า การที่แอปฯ กู้เงินสามารถดำเนินการได้โดยไม่มีการควบคุม เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะผู้บริโภคมักไม่มีทางเลือกอื่น โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ทำให้หลายคนต้องหันไปพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยง อย่างไรก็ตามแม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลสินเชื่อในระบบ แต่ความท้าทายในปัจจุบันอยู่ที่แอปฯ กู้เงินจำนวนมากที่อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจโดยตรงของ ธปท. หลายแอปฯ อาจใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และสภาผู้บริโภคเห็นว่ายังไม่มีหน่วยงานกลางที่ดูแล “ตัวแอปพลิเคชัน” อย่างชัดเจน

แม้กฎหมายจำกัด แต่ ธปท. พร้อมจับมือทุกฝ่ายแก้ปัญหา

ในมุมมองของพีรจิตเกี่ยวกับการกำกับดูแลแอปฯ กู้เงิน เธอมองว่า การกำกับดูแลแอปฯ กู้เงินเถื่อนผ่านบทบาทของ ธปท. อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก เพราะอำนาจการกำกับดูแลที่ ธปท. มีอยู่ในปัจจุบัน อิงกับกฎหมายที่ให้อำนาจเฉพาะสินเชื่อที่เกิน 15% เท่านั้น หาก ธปท. ต้องกำกับสินเชื่อทั้งหมด โดยเฉพาะสินเชื่อที่เรียกเก็บดอกเบี้ยน้อยกว่า 15% อาจเป็นการขัดขวางการดำเนินธุรกิจตามปกติของประชาชนหรือธุรกิจทั่วไป ซึ่งมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำกับอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ธปท. ได้มีมาตรการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด เช่น ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และตำรวจไซเบอร์ ในการระบุและถอดถอนแอปฯ ที่เข้าข่ายละเมิดกฎหมาย

ขณะเดียวกัน พีรจิต เผยว่า ปัญหาหลักคือ แอปฯ เถื่อนเหล่านี้เมื่อถูกถอดออก ก็จะสามารถเปลี่ยนชื่อ เปิดใหม่ได้ภายในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ การเอาผิดทางกฎหมายกับแอปฯ กู้เงินเถื่อนจำเป็นต้องมีผู้เสียหายร้องทุกข์โดยตรง ซึ่งในหลายกรณีพบว่าผู้กู้ไม่ได้มาร้องเรียน

ทั้งนี้ ขอย้ำว่า ก่อนตัดสินใจเลือกหรือใช้บริการ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการสินเชื่อที่ได้รับอนุญาตผ่านเว็บไซต์ของ ธปท. ได้ และหากพบแอปฯ ที่น่าสงสัย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ธปท. เบอร์ 1213 หรือแจ้งไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ได้ทันที

ทางออกเพื่อเติมเต็มช่องว่างการคุ้มครองผู้บริโภค

แม้ว่า ธปท. จะดำเนินการภายใต้อำนาจที่มีอยู่ แต่โสภณ มองว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังขาดมาตรการที่ครอบคลุมในการกำกับดูแลแอปฯ กู้เงิน โดยเฉพาะแอปฯ ที่อยู่นอกระบบ หรือมีการใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการดำเนินธุรกิจโดยไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อปิดช่องว่างทางและทำให้ผู้บริโภคถูกคุ้มครองมากยิ่งขึ้นในที่สภาผู้บริโภคเป็นผู้แทนของผู้บริโภคตามกฎหมาย โสภณ จึงได้เสนอแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภค ดังนี้

1. การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อกำกับดูแลแอปฯ กู้เงิน โดยเสนอให้มีการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะที่มีอำนาจในการตรวจสอบและกำกับดูแลแอปฯ กู้เงิน เช่นเดียวกับที่กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ร่วมมือกำกับดูแลแอปฯ เรียกรถ เช่น แกร็บ (Grab) ไลน์แมน (LINE MAN) โดยมีการดำเนินการ เช่น การตรวจสอบประวัติคนขับ ระบบติดตามการเดินทาง และการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่โปร่งใส

อาจนำต้นแบบการกำกับดูแลของแอปฯ ประเภทนี้มาปรับใช้กับแอปฯ กู้เงิน และกำหนดบทบาทของหน่วยงานให้มีบทบาทสำคัญในการคัดกรอง ตรวจสอบ และอนุมัติแอปฯ กู้เงิน ก่อนที่จะถูกนำขึ้นแพลตฟอร์ม เช่น เพลย์สโตร์ (Play Store) หรือ แอปสโตร์ (App Store) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริโภคได้รับความปลอดภัย ไม่ตกเป็นเหยื่อของสินเชื่อที่ไม่เป็นธรรม

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ETDA หรือหน่วยงานไซเบอร์ต่าง ๆ ภายใต้กระทรวงดีอี ควรเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการตรวจสอบเส้นทางการดำเนินธุรกิจของแอปฯ เหล่านี้ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นผู้ให้บริการที่มีตัวตนจริง ไม่ใช่มิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อฉ้อโกงผู้บริโภค

2. การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสของแอปฯ กู้เงิน

แอปฯ กู้เงินทุกตัวต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของกิจการและโครงสร้างการบริหารที่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ให้กู้เถื่อนแฝงตัวเข้ามาหลอกลวงผู้บริโภค นอกจากนี้ การขอสิทธิเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ รูปภาพ หรือข้อความ ต้องได้รับความยินยอมโดยสมัครใจ และต้องมีความชัดเจนว่าเหตุใดจึงต้องเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยลดปัญหาการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การประจานลูกหนี้ หรือการนำข้อมูลไปใช้เพื่อกดดันให้ชำระหนี้โดยมิชอบ

3. การบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

หนึ่งในปัญหาหลักของแอปฯ กู้เงินเถื่อน คือ เมื่อถูกถอดออกจากแพลตฟอร์ม ก็สามารถเปลี่ยนชื่อใหม่และกลับมาให้บริการได้ภายในไม่กี่วัน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ควรมีมาตรการร่วมกันระหว่าง ธปท., กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), ตำรวจไซเบอร์ และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Google และ Apple ในการตรวจสอบและบล็อกแอปที่เข้าข่ายฉ้อโกง รวมถึงใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจจับและปิดกั้นแอปที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายอันตราย

โสภณเน้นย้ำว่า หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการอย่างจริงจังและเข้มงวด จะช่วยลดความเสียหายจากแอปฯ กู้เงินเถื่อน และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

ก้าวต่อไปของการคุ้มครองผู้บริโภค

เมื่อถามถึงทางออกในการคุ้มครองผู้บริโภคในกรณีดังกล่าว โสภณ เห็นว่า การคุ้มครองผู้บริโภคจากแอปฯ กู้เงินเถื่อนเป็นเรื่องสำคัญ และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่ออุดช่องโหว่ของกฎหมายและสร้างมาตรฐานความปลอดภัยที่รัดกุมขึ้น หากมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น อาจเป็นทางออกที่ช่วยลดความเสี่ยงของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่ปลอดภัย และไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อของกลโกงที่แฝงตัวอยู่ในโลกออนไลน์

ทั้งนี้ โสภณ มองว่า หากมาตรการเหล่านี้ถูกผลักดันให้เป็นจริง ผู้บริโภคจะได้รับการคุ้มครองที่เข้มแข็งขึ้นจากแอปฯ กู้เงินเถื่อนที่ใช้กลโกงต่าง ๆ หาประโยชน์จากผู้ที่กำลังเดือดร้อนทางการเงิน แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง และมีการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแล ภาครัฐ และแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อปิดช่องโหว่ของระบบการให้สินเชื่อออนไลน์ที่ผิดกฎหมายอย่างแท้จริง

“การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ไม่ควรเป็นกับดักที่ทำให้ผู้บริโภคต้องเผชิญกับหนี้สินที่ไม่เป็นธรรม แต่ควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาทางการเงินที่ยากลำบากได้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรม“ โสภณ ระบุทิ้งท้าย