สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) จี้ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งสร้างความชัดเจนด้านมาตรการจัดการการแพร่ระบาดเชื้อโควิดในสถานศึกษาและพื้นที่เสี่ยง หลังผู้ปกครองทั่วประเทศรวมตัวให้ยกเลิกตรวจ ATK ด้านโรงเรียนโอดนโยบายส่วนกลางไม่ชัดเจน ต้องประสานหน่วยงานท้องถิ่นดำเนินการตรวจคัดกรองด้วยตนเอง
สุภัทรา นาคะผิว ประธานคณะอนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สอบ. กล่าวว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 มีกลุ่มผู้ปกครองรวมตัวกันเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขยกเลิกมาตรการตรวจหาเชื้อโควิด ผ่านชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยตัวเอง (Antigen Test Kit : ATK) ของบรรดานักเรียนในสถานศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งต้องตรวจเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้ทราบผลก่อนเข้าไปในสถานศึกษา นอกจากจะเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครองท่ามกลางสถานการณ์ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเยื่อบุโพรงจมูกของเด็กนักเรียนด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากมูลนิธิสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (Institute of HIV Research and Innovation) หรือ IHRI ระบุว่า การใช้ชุดตรวจ ATK นั้นไม่ได้ใช้เพื่อป้องกัน แต่ใช้เพื่อเป็นเครื่องมือตรวจคัดกรองเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด แต่หากฉีดวัคซีนได้ครอบคลุม สวมหน้ากากอนามัย ตรวจวัดอุณหภูมิ และล้างมืออยู่เสมอ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ชุดตรวจ ATK
เช่นเดียวกับ นพ.ระพีพงศ์ สุพรรณไชยมาตย์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ที่เห็นสอดคล้องเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวและแสดงความกังวลต่อการใช้ชุดตรวจ ATK โดยไม่ชัดเจนในวัตถุประสงค์ โดยอธิบายว่า ในทางวิชาการนั้น ชุดตรวจ ATK ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ตรวจคัดกรองในกรณีเกิดการแพร่ระบาดที่รวดเร็ว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจัดการและนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันท่วงที ทั้งยังช่วยลดโอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ด้วย ซึ่งไทยเริ่มใช้ชุดตรวจ ATK อย่างแพร่หลายในช่วงรอบการระบาดของเชื้อเดลต้า หากพิจารณาจะพบว่าไทยเลือกที่จะบริหารจัดการโรคในแบบ Living with Covid คือ ต้องปรับตัวเพื่ออยู่กับการระบาดของเชื้อโควิดให้ได้ ทำให้ชุดตรวจ ATK ขยายบทบาทจากการเป็นผู้ช่วยแพทย์ในการวินิจฉัย และช่วยประเมินผู้สัมผัสเสี่ยงสูง มาเป็นตัวช่วยประเมินความเสี่ยง ภายหลังจากไทยตัดสินใจเดินหน้านโยบายเปิดประเทศ
“การประเมินความเสี่ยงอาจไม่จำเป็นต้องใช้ชุดตรวจ ATK เพียงอย่างเดียว จะเห็นได้จากในหลายประเทศที่ใช้เกณฑ์อื่น ๆ ในการประเมิน อาทิ การประเมินตนเอง หรือตรวจสอบจากประวัติการฉีดวัคซีน แต่กรณีที่ต้องการใช้มาตรการการตรวจเข้มข้นยิ่งขึ้นก็สามารถใช้ชุดตรวจ ATK ร่วมด้วยได้ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นแต่ละกรณีไป” นพ.ระพีพงษ์ แสดงความเห็น
ด้าน สพ.ญ.สุธิดา ม่วงน้อยเจริญ เฮิร์น สัตวแพทย์ชำนาญการ กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันภาครัฐได้จัดตั้งคณะทำงานระบบเฝ้าระวังและวิเคราะห์สถานการณ์โควิดในไทยขึ้น โดยมีกระบวนการเฝ้าระวังกลุ่มผู้ติดเชื้อเป็นรายบุคคล กลุ่มผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และกลุ่มเสี่ยงนอกสถานพยาบาล เช่น การติดเชื้อในชุมชนและการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์ ขณะที่ การจะเป็นคลัสเตอร์ได้นั้นต้องพบผู้ที่ติดเชื้อตั้งแต่ 5 รายขึ้นไปในสถานที่เดียวกัน ช่วงเวลาเดียวกัน และเชื่อมโยงระหว่างกัน หากพบกรณีเช่นนี้ก็จะต้องรีบรายงานให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทราบทันที เพื่อเข้าตรวจสอบข้อมูลและตรวจโรค ซึ่งแนวทางปฏิบัติในการควบคุมการระบาดในลักษณะคลัสเตอร์ คือ การควบคุมโรคและสืบสวนโรค โดยให้เจ้าพนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ที่รู้จักเครือข่ายชุมชนและพื้นที่หาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ทั้งนี้ นิมิตร์ เทียนอุดม รองประธาน สอบ.กล่าวว่า เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการเรื่องการระบาดในแบบกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องควรกำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการการระบาดดังกล่าวอย่างทันท่วงที แต่ปัจจุบันกลับไม่ค่อยได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจนในส่วนนี้เท่าใดนัก และมองว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในชุมชนต่าง ๆ เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะต้องทราบแนวทางเบื้องต้นว่าควรต้องปฏิบัติอย่างไรให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งนับเป็นโจทย์ที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ เพื่อใช้คลี่คลายปัญหาและอยู่กับโควิดได้โดยไม่ต้องสั่งปิดสถานที่ต่าง ๆ ที่จะกระทบต่อการดำรงชีวิตของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
“เราต้องเลิกตรวจ ATK แบบหว่านแห ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สูญเปล่า และต้องไม่สร้างความคลุมเครือให้เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งต้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชน ผ่านองค์ความรู้และข้อมูลที่เข้าใจง่าย เพื่อช่วยลดความตระหนก และช่วยทำให้คนไทยอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างรู้เท่าทัน” นิมิตร์ เสนอ
“นอกจากนี้ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการของสถานศึกษาและสถานประกอบการ ทั้งของรัฐและเอกชนก็ต้องชัดเจนเช่นกัน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องทำงานเชิงบูรณาการ ต้องไม่มีการบังคับให้ตรวจ ATK แต่ต้องประเมินความเสี่ยงและไม่เลือกปฏิบัติ ต้องบริหารสถานการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่แก้ปัญหาด้วยการเร่งจัดซื้อชุดตรวจ ATK เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเร่งให้ความรู้แก่ประชาชนด้วย”
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบดีว่า รัฐบาลสั่งซื้อชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 รวม 8.5 ล้านชุดเพื่อแจกให้แก่กลุ่มเสี่ยง เพื่อตรวจคัดกรอง ลดการแพร่ระบาด แต่ปัจจุบันชุดตรวจเหล่านั้นถูกใช้ไปจำนวนมาก จนเหลือเพียง 2 ล้าน ชุดท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงแต่อย่างใด ที่สำคัญรัฐบาลไม่ได้เดินหน้านโยบายจัดซื้อเพิ่ม ร้อนถึงส่วนบริหารท้องถิ่นที่ต้องหาซื้อเพื่อกระจายสู่สถานศึกษาและชุมชนพื้นที่เสี่ยง เพื่อลดการแพร่ระบาดในพื้นที่ของตนเอง
ในปี 2565 สปสช. ใช้งบประมาณ 115 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อชุดตรวจไว้ใช้ตรวจคัดกรองในพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ อีกทั้ง ในปีที่ผ่านมาได้กระจายแก่ประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศรายละ 2 ชุด โดยกระจายออกสู่สถานพยาบาลและพื้นที่เสี่ยง จนชุดตรวจที่มีอยู่เกือบจะหมดแล้ว ประกอบกับความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การใช้ ATK ที่ดำเนินการตรวจคนจำนวนมากที่ไม่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยง ยิ่งทำให้มีการใช้ ATK มากเกินจำเป็น จนปริมาณความต้องการพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลต่อราคาที่มีแนวโน้มจะขยับสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว หากองค์การเภสัชกรรมสามารถกระจาย ATK เข้าไปที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ร้านยาหรือคลินิก และให้ประชาชนเข้าไปซื้อชุดตรวจ ATK ได้ในราคาถูก ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนได้ส่วนหนึ่ง
ขณะที่ อดุลย์ บุญช่วย ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดหินดาษ (กระแส บุญชู อุทิศ) จังหวัดฉะเชิงเทรา ตัวแทนครู เห็นว่า เมื่อนโยบายมีความไม่ชัดเจนก็จะส่งผลอย่างมากต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปได้อย่างถูกต้อง ที่ผ่านมาพบว่า นโยบายของพื้นที่กับส่วนกลางไม่ตรงกัน จนทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงาน ขณะเดียวกันมาตรการที่ต้องตรวจโควิดนักเรียน 100% จึงจะสามารถเปิดเรียนได้นั้นอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เขาจึงมองว่าควรตรวจ ATK เฉพาะนักเรียนที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น ส่วนเด็กเล็กก็ต้องการให้ใช้ชุดตรวจแบบอื่นที่เหมาะสม เนื่องจากบางรายตรวจแล้วได้รับบาดเจ็บในโพรงจมูก นอกจากนี้ ยังเสนอให้โรงเรียนและโรงพยาบาลแต่ละพื้นที่ทำแผนปฏิบัติงานร่วมกัน โดยน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการรับมือกับปัญหาดังกล่าว