ตลาดโทรคมนาคมไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ หลังการควบรวมของ ทรู-ดีแทค และ AIS-3BB ซึ่งถูกโฆษณาว่าจะช่วยลดค่าบริการและยกระดับคุณภาพเครือข่าย แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม
ค่าบริการพุ่งสูง คุณภาพยังเป็นปัญหา แพ็กเกจราคาถูกเริ่มหายไป ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงบทบาทของ กสทช. ที่ยังไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
สภาผู้บริโภคจึงเปิดเวทีเสวนา “ควบรวมโทรคมนาคม: ผลประโยชน์หรือภาระของผู้บริโภค?” เพื่อสะท้อนปัญหาที่แท้จริง พร้อมเสนอแนวทางแก้ไข โดยหนึ่งในข้อเสนอที่ถูกหยิบขึ้นมา ได้แก่ การเปิดทางให้ผู้ให้บริการรายใหม่ (MVNO) แข่งขัน และ การสร้างระบบตรวจสอบค่าบริการที่เป็นธรรม หากยังปล่อยให้ตลาดถูกผูกขาดแบบนี้ อนาคตของผู้บริโภคอาจต้องจ่ายแพงขึ้น แต่ได้บริการที่ถดถอยลงเรื่อย ๆ

ย้อนรอยดีลควบรวมมือถือ
กัลป์ กรุยรุ่งโรจน์ นักวิจัยจาก 101 Public Policy Think Tank เปิดเผยข้อมูลจากการศึกษาและวิจัยของ 101 Pub ว่า ในช่วงปลายปี 2565 คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ บอร์ด กสทช. อนุญาตให้ทรูและดีแทคควบรวมกิจการโดยให้เหตุผลว่าการรวมกันของสองค่ายใหญ่จะทำให้ค่าบริการลดลง คุณภาพดีขึ้น และเกิดประสิทธิภาพที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเชิงประจักษ์กลับสะท้อนสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป ก่อนการควบรวม ค่าบริการโทรศัพท์มือถือมีแนวโน้มลดลง โดยไตรมาสแรกของปี 2566 ค่าบริการมือถือต่อเลขหมายเฉลี่ยของผู้ให้บริการอยู่ที่ 240 บาท และลดลงเมื่อมีการประกาศควบรวม แต่หลังจากควบรวมเสร็จสิ้น ช่วงระหว่างปี 2023 – 2024 ค่าบริการค่อย ๆ ขยับขึ้นตั้งแต่ 205 – 222 บาท
นอกจากนี้ แพ็กเกจราคาถูกที่เคยมีในตลาดก็เริ่มหายไป เช่น แพ็กเกจรายเดือนของทรูจากเกือบ 300 บาท ปรับขึ้นเป็นเกือบ 500 บาท ขณะที่ดีแทคจาก 350 บาท เพิ่มเป็น 399 บาท และ AIS จาก 349 บาท เป็น 399 บาท ส่วนแพ็กเกจซิมอินเทอร์เน็ตที่เคยขายในราคาประมาณ 100 บาท ปัจจุบันขยับขึ้นเป็น ทรู 242 บาท ดีแทค 191 บาท และ AIS 233 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัว
แม้ว่า กสทช. จะกำหนดให้ผู้ควบรวมค่ายมือถือต้องลดค่าบริการลง 12% ภายใน 90 วันหลังการควบรวม หรือภายในเดือนมิถุนายน 2566 แต่กลับไม่มีการแสดงค่าเฉลี่ยราคาที่ชัดเจน
ทั้งนี้ กสทช. อ้างว่าเป็นการใช้สูตร Simple Average ซึ่งคำนวณค่าบริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตโดยไม่พิจารณาสัดส่วนการใช้งานจริงของผู้บริโภค ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงออกมาอาจไม่สะท้อนปัญหาที่แท้จริง ขณะที่การควบคุมราคายังล่าช้า โดยทราบว่าเพิ่งมีการเซ็นสัญญากับที่ปรึกษาเพื่อกำหนดโครงสร้างต้นทุนของค่าบริการในกลางปี 2567 ซึ่งหมายความว่าจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่มีผลบังคับใช้จริง
ในด้านคุณภาพสัญญาณ กัลป์ เปิดเผยว่า ผู้บริโภคเริ่มกังวลว่าอาจมีการลดจำนวนเสาสัญญาณในบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิดปัญหาผู้ใช้บริการแย่งสัญญาณกัน โดย กสทช. มีระบบติดตาม เฝ้าระวัง ประเมินคุณภาพเป็นรายไตรมาสในแต่ละภูมิภาค แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าสามารถตรวจสอบผลกระทบได้จริงหรือไม่
ทั้งนี้ นักวิจัยรายนี้ ระบุว่า รายงานจากการรับฟังความคิดเห็นกลุ่มเฉพาะ (Focus Group )ของ 101 Public Think Tank พบว่าในบางพื้นที่ เช่น ภาคใต้ มีผู้บริโภครายหนึ่งให้ข้อมูลว่า ขณะรอรับลูกระหว่างรถติดที่ไฟแดงสัญญาณโทรศัพท์กลับหายไป เนื่องจากมีผู้ใช้งานหนาแน่น ในขณะที่พื้นที่ห่างไกล เช่น ภาคเหนือหากออกนอกตัวเมืองก็พบว่าสัญญาณอ่อนลงหรือขาดหายไป
“สะท้อนให้เห็นว่าหลังการควบรวม การให้บริการอาจไม่ได้มีประสิทธิภาพตามที่คาดหวังและยังคงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด” กัลป์ ระบุ
เน็ตบ้านก็ไม่รอด!
ปัญหาการควบรวมกิจการในตลาดโทรคมนาคมไม่ได้จำกัดแค่บริการโทรศัพท์มือถือ แต่ยังส่งผลกระทบต่อค่าบริการอินเทอร์เน็ตบ้านด้วย กษิดิ์เดช คำพุช นักวิจัยจาก 101 Public Policy Think Tank อีกราย เปิดเผยข้อมูลว่า ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ค่าบริการอินเทอร์เน็ตบ้านมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยก่อนการประกาศควบรวม AIS และ 3BB ค่าบริการเฉลี่ยอยู่ที่ 400 กว่าบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 500 กว่าบาท ซึ่งข้อมูลจาก กสทช. ที่นำเสนอในการประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ (กมธ.เศรษฐกิจ) ระบุว่า ค่าบริการเพิ่มขึ้นเพียง 2.1% แต่เมื่อพิจารณาเป็นรายไตรมาส พบว่าค่าบริการเพิ่มขึ้นถึง 5% ก่อนการควบรวม
นอกจากนี้ แพ็กเกจราคาถูกที่เคยมีในตลาด เช่น แพ็กเกจขนาดเล็กประมาณ 300 กว่าบาท แม้จะยังคงมีอยู่ แต่ราคากลับขยับขึ้นเป็น 499 บาท และสิทธิพิเศษที่เคยได้รับ เช่น ซิมอินเทอร์เน็ตฟรี แพ็กเกจดูหนัง หรือแพ็กเกจดูฟุตบอล ก็ถูกตัดออกไป
หรือแม้แต่กรณีคุณภาพไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เช่นกรณีที่ผู้ใช้บริการซื้อแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ 1000/500 Mbps แต่เมื่อลองทดสอบความเร็ว (Speed Test) กลับไม่ได้ความเร็วตามที่โฆษณา ผู้ใช้รายนี้ระบุว่า ช่างให้เหตุผลว่าอุปกรณ์ของลูกค้าอาจไม่รองรับสัญญาณ 6G ทำให้ไม่สามารถรับความเร็วได้เต็มที่ หลังการควบรวม ผู้บริโภคบางรายยังพบว่าคุณภาพการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเสถียรน้อยลง
“แม้ว่า กสทช. จะมีมาตรการกำหนดให้ AIS คงแพ็กเกจราคาถูกที่สุดไว้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับทรูแพ็กเกจราคาถูกที่สุดกลับหายไป ทำให้การแก้ปัญหาของ กสทช. อาจดูดีในทางทฤษฎี แต่ไม่ได้ช่วยให้ค่าบริการลดลงในทางปฏิบัติ” กษิดิ์เดช ระบุ
อีกแนวโน้มหนึ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดคือการขายพ่วงบริการ เช่น การเสนอแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตบ้านพร้อมบริการดูหนัง หากซื้อแยก ค่าบริการอาจสูงถึง 800 บาท แต่หากซื้อพ่วงจะเหลือเพียง 600 กว่าบาท แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า แต่ในระยะยาวอาจสร้างต้นทุนการเปลี่ยนผู้ให้บริการที่สูงขึ้น และลดโอกาสของผู้ให้บริการรายย่อย ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดลดลงและอำนาจต่อรองของผู้บริโภคมีน้อยลงกว่าเดิม
กสทช. กับผู้บริโภค อยู่คนละโลกหรือไม่
ฉัตร คำแสง ผู้อำนวยการ 101 Public Policy Think Tank ระบุว่า หลังจากควบรวมกิจการโทรศัพท์มือถือผ่านไป 2 ปี และอินเทอร์เน็ตบ้านผ่านไป 1 ปี ผู้บริโภคต่างมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน บางคนอาจพบว่าสัญญาณดีขึ้น ขณะที่บางคนกลับประสบปัญหาสัญญาณแย่ลงหรือค่าบริการที่สูงขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ 101 Public Think Tank นำเสนอในที่สาธารณะมีการอ้างอิงจากรายงานของ กสทช. ที่เสนอถึง กมธ.เศรษฐกิจ และรายงานถึงผู้ถือหุ้น ซึางเน้นไปที่การเติบโตของบริษัทและผลประโยชน์ที่สะท้อนถึงผู้บริโภคในมุมมองเชิงธุรกิจ มากกว่าการสะท้อนปัญหาที่ผู้ใช้บริการต้องเผชิญในชีวิตจริง
“ปัญหาที่แท้จริงคือผู้บริโภคไม่ได้รับผลกระทบในแบบเดียวกัน ผู้ใช้บางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ต่ำ หรือผู้ที่ใช้บริการแบบเติมเงิน ซึ่งต้องระมัดระวังค่าใช้จ่ายมากกว่ากลุ่มอื่นได้รับผลกระทบหนักที่สุด ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการที่สูงขึ้น หรือการถูกจำกัดทางเลือกในการใช้แพ็กเกจที่เหมาะสม” ผู้อำนวยการ 101 Public Think Tank ระบุ

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการยังใช้กลยุทธ์ผูกมัดผู้บริโภค เช่น การพ่วงบริการมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้านเข้าด้วยกัน ทำให้การเปลี่ยนค่ายเป็นเรื่องยาก หากต้องการย้ายค่ายโทรศัพท์ อาจต้องย้ายบริการอินเทอร์เน็ตบ้านไปด้วย ซึ่งเป็นภาระที่ทำให้ผู้บริโภคต้องลังเลและส่งผลให้การแข่งขันในตลาดลดลง โปรโมชันที่เคยมีเพื่อดึงดูดลูกค้าก็เริ่มลดลง เนื่องจากผู้ให้บริการไม่มีแรงจูงใจในการแข่งขันกันรักษาผู้บริโภคเหมือนเดิม
ทำให้บทบาทของ กสทช. ในการกำกับดูแลจึงถูกตั้งคำถามอย่างหนัก เพราะหน่วยงานกำกับดูแลไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาได้ทันท่วงที มาตรการที่ออกมาก็ล่าช้า และมักจะถูกดำเนินการภายหลังที่ภาคธุรกิจได้ตัดสินใจไปแล้ว ผู้อำนวยการ 101 Public Think Thank จึงนิยามถึง “3 ไม่ ภาพรวมการทำงานของ กสทช.” ได้แก่ ไม่ทันต่อปัญหา ไม่ตรงกับความตั้งใจเดิม ไม่พร้อมกำกับดูแลตั้งแต่แรก
สุดท้าย ฉัตร จีงสรุปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า กสทช. และผู้บริโภคอยู่กัน “คนละโลก” เพราะมาตรการที่ประกาศใช้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาจริงของผู้บริโภคได้ คุณภาพสัญญาณไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น และไม่มีเกณฑ์ชัดเจนในการวัดผลการให้บริการ ขณะที่เงื่อนไขกำกับดูแลที่ออกมา ก็ไม่สามารถนำไปใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคได้จริง ทำให้ในที่สุดผู้บริโภคต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ท่ามกลางทางเลือกที่มีน้อยลงเรื่อย ๆ
ผู้ให้บริการรวยขึ้น แต่ผู้บริโภคจ่ายแพงกว่าเดิม
ขณะที่ ผศ.ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการเศรษฐศาสตร์บันฑิต หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การควบรวมธุรกิจมักเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ประกอบการเนื่องจากช่วยลดต้นทุน เพิ่มขนาดธุรกิจ และเสริมศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรม แต่สิ่งที่เป็นข้อดีต่อผู้ให้บริการกลับอาจเป็นข้อเสียต่อผู้บริโภค เนื่องจากการควบรวมทำให้บริษัทมีอำนาจในตลาดมากขึ้น สามารถกำหนดราคาค่าบริการและเงื่อนไขที่อาจสร้างภาระให้กับผู้ใช้บริการ
“งานศึกษาหลายฉบับที่ กสทช. จัดจ้างวิจัยหรือศึกษา ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่าการควบรวมกิจการโทรคมนาคมมีแนวโน้มส่งผลเสียต่อการแข่งขันและผู้บริโภคมากกว่าผลบวกแม้จะมีการกล่าวอ้างว่าเกิดนวัตกรรมหรือประสิทธิภาพที่ดีขึ้น แต่หลักฐานที่เป็นรูปธรรมยังมีไม่มาก ขณะที่อัตรากำไรของบริษัทกลับเพิ่มสูงขึ้น” ผศ.ดร.พรเทพ กล่าว
ผู้อำนวยการเศรษฐศาสตร์บันฑิตฯ ระบุว่า ประเทศไทยเลือกใช้แนวทางที่เอื้อให้กลุ่มทุนขยายตัวโดยไม่มีคู่แข่ง ซึ่งนำไปสู่ภาวะตลาดกระจุกตัวและการแข่งขันที่ลดลง
แม้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. ควรจะมีบทบาทในการสร้างสมดุลระหว่างข้อดีและข้อเสียของการควบรวมธุรกิจผ่านมาตรการเยียวยา เช่น การบังคับลดราคาค่าบริการ แต่กลับพบว่าแม้จะมีการประกาศลดราคาผู้บริโภคกลับไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน คุณภาพการให้บริการก็ลดลง โดยเฉพาะปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ถูกร้องเรียนมากขึ้น
นอกจากนี้ ทราบว่า กสทช. ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการติดตามมาตรการหลังควบรวม แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในแง่ของการตรวจสอบต้นทุนและการกำหนดราคาที่เป็นธรรม ปัจจุบันยังไม่มีแผนที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆหรือแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระยะยาว
อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ ผู้ประกอบการขอแก้ไขเงื่อนไขเยียวยาหลังการควบรวม แต่ผู้บริโภคกลับไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนว่าการแก้ไขดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาหรือสร้างภาระเพิ่มเติม กสทช. กำลังพิจารณาเรื่องนี้ แต่ยังไม่มีเหตุผลที่แน่ชัดว่าทำไมจึงต้องแก้ไขเงื่อนไขแทนที่จะบังคับใช้มาตรการเดิมอย่างเข้มงวด
“แนวทางที่เกิดขึ้นกำลังส่งสัญญาณว่า ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าไปก่อน แล้วจึงค่อยมาขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในภายหลัง สะท้อนถึงความอ่อนแอของมาตรการกำกับดูแลที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง และไม่ได้ช่วยให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม” ผศ.ดร.พรเทพ กล่าว
ผศ.ดร.พรเทพ ระบุอีกว่า ตลาดโทรคมนาคมในไทยอยู่ในภาวะอิ่มตัว และมีโครงสร้างที่กระจุกตัวมากขึ้น ทำให้การเปิดทางให้ผู้เล่นรายใหม่เข้ามาแข่งขันเป็นเรื่องยาก

อย่างไรก็ตาม การรักษาสภาพการแข่งขันเดิมให้ได้มากที่สุดเป็นสิ่งจำเป็นเป็นทางเลือกที่หนึ่ง (First-Best Solution) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำนวนผู้ให้บริการลดลงจากสามรายเหลือเพียงสองราย ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไขกลับไปสู่สภาพเดิม ในเมื่อการเพิ่มผู้ให้บริการรายใหม่ทำได้ยาก
ส่วนทางเลือกที่สอง (Second-Best Solution) อาจทำได้โดยการเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการกำกับดูแล เช่น การจัดสรรคลื่นความถี่ที่เป็นธรรม การบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น และการสนับสนุนให้ MVNO (Mobile Virtual Network Operator) หรือผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือนเข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคยังคงมีทางเลือกและสามารถเข้าถึงบริการในราคาที่เป็นธรรม
รื้อควบรวม เพื่อคืนการแข่งขันให้ตลาด
ส่วน อาจารย์กนกนัย ถาวรพาณิชย์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เมื่อการแข่งขันในตลาดถูกจำกัด มีเพียงเจ้าของธุรกิจและผู้ถือหุ้นเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ขณะที่ผู้บริโภคต้องเผชิญกับทางเลือกที่น้อยลง ค่าบริการที่สูงขึ้น และคุณภาพที่ไม่ได้พัฒนาตามที่คาดหวัง
แม้ว่ากฎหมายการแข่งขันทางการค้าจะเปิดช่องให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตีความ ตรวจสอบ และห้ามการควบรวมได้ แต่ในกรณีของกสทช. กลับเลือกที่จะส่งเรื่องไปยังสำนักงานกฤษฎีกาเพื่อสอบถามว่าตนเองมีอำนาจดำเนินการหรือไม่ โดยกฤษฎีกาอธิบายว่าประกาศของ กสทช. ปี 2561 กำหนดให้ผู้ให้บริการต้องรายงานล่วงหน้าแทนที่การขออนุญาตแบบที่เคยกำหนดไว้ในปี 2553 ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วและให้ทำรายงานแจ้งว่าจะมีการควบรวมกิจการ ผลที่ตามมาคือ คณะกรรมการ กสทช. ที่เป็นเสียงข้างมากที่อนุญาตให้ควบรวมกิจการมองว่าตนเองมีเพียงอำนาจรับทราบ แต่ไม่มีอำนาจสั่งห้าม ทั้งที่ในความเป็นจริงหน่วยงานกำกับดูแลสามารถกำหนดมาตรการเยียวยาและสั่งห้ามได้ หากเห็นว่าการควบรวมจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันและผู้บริโภค
อาจารย์กนกนัย ได้ยกตัวอย่างแนวทางการกำกับดูแลในต่างประเทศ เช่น อังกฤษและสหภาพยุโรป (EU) ที่ระบุว่า มาตรการเยียวยาต้องรวมถึงทางเลือกในการห้ามควบรวม หากมีความจำเป็นโดยในอังกฤษ มีกฎหมายที่กำหนดให้การห้ามควบรวมเป็นหนึ่งในมาตรการเยียวยาที่สามารถใช้ได้ ขณะที่ใน EU หากพบว่าผู้ให้บริการไม่ปฏิบัติตามมาตรการเยียวยา หน่วยงานกำกับสามารถดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด
“ในไทยนั้น การควบรวมกิจการเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่การบังคับใช้มาตรการเยียวยายังล่าช้า กสทช. ไม่ได้เร่งตรวจสอบว่าผู้ให้บริการปฏิบัติตามเงื่อนไขจริงหรือไม่ ส่งผลให้ผู้บริโภคยังคงได้รับผลกระทบจากค่าบริการที่เพิ่มขึ้น และคุณภาพเครือข่ายที่ไม่ได้พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น” อาจารย์กนกนัย ตั้งข้อสังเกต

แม้ว่าการรื้อถอนการควบรวมตามการศึกษาหัวข้อ Unscrambling the Eggs ของ John Kwoka และ Tommaso Valletti อาจมองว่าเป็นเรื่องยาก แต่อาจารย์กนกนัย ระบุว่า ในหลักเศรษฐศาสตร์และกฎหมายถือว่าเป็นไปได้ หากพบว่าการควบรวมละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่ใช่เพียงแค่การย้อนกลับการควบรวม แต่เป็นการสร้างกลไกการแข่งขันที่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็น 1. การพัฒนาให้เกิดผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตให้บริการโทรศัพท์
เคลื่อนที่โดยตรงรายใหม่ MNO (Mobile Network Operator) แต่อาจทำไม่ง่ายสักเท่าไร
2. การเปิดทางให้ MVNO (Mobile Virtual Network Operator) หรือผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือนเข้ามาแข่งขัน ซึ่งในต่างประเทศ MVNO มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าของไทย โดยหากมีการส่งเสริม MVNO ในไทยมากกว่านี้ ผลกระทบจากการควบรวมจะไม่รุนแรงเท่าขณะนี้ แต่ปัจจุบันผู้ให้บริการรายเดิมยังคงมีอำนาจเหนือตลาด และ กสทช. ยังไม่ใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อตรวจสอบหรือลดอำนาจผูกขาดที่เกิดขึ้น
สำหรับทางออกที่เป็นไปได้ อาจารย์กนกนัย เสนอให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับผู้เล่นรายใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะค่ายมือถือ NT (National Telecom) ที่สามารถมีบทบาทมากขึ้นหากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากมีการอุดหนุนจากภาครัฐ NT ต้องมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนเพื่อให้บริการที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เช่น การตั้งราคาค่าบริการที่เป็นธรรม และการให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้น
“MVNO ควรได้รับโอกาสในการแข่งขันกับเจ้าของโครงข่ายอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้ตลาดโทรคมนาคมมีการแข่งขันที่สมดุลขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ กสทช. และศาลต้องพิจารณาแนวทางที่เอื้อต่อการแข่งขัน ไม่ใช่เพียงเอื้อต่อผู้ให้บริการรายใหญ่” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ระบุทิ้งท้าย
จี้คืนอำนาจตรวจสอบ กสทช. ให้ประชาชน
อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดโทรคมนาคมของประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ซึ่งมีข้อจำกัดในการดำเนินงานและการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับเอกชนรายใหญ่ได้
“โดยธรรมชาติของผู้ประกอบการจะแสวงหาวิธีการที่ทำให้เกิดกําไรสูงสุด แต่กรณีของกิจการโทรคมนาคม เป็นกิจการที่ใช้คลื่นความถี่คลื่น ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ รัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน โดย กสทช. ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อจัดสรรและควบคุมการใช้คลื่นความถี่ แต่กลับมีข้อกังขาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่” อิฐบูรณ์ กล่าว

องค์กรผู้บริโภคจึงมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและเรียกร้องความโปร่งใสในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม แต่อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบของประชาชนยังคงเผชิญกับอุปสรรค เนื่องจากกฎหมาย กสทช. ฉบับปี 2562 ได้จำกัดสิทธิของประชาชนในการเข้าชื่อถอดถอนกรรมการ กสทช. ทำให้การเรียกร้องความรับผิดชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลทำได้ยากขึ้น สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการปฏิรูปกระบวนการกำกับดูแลโทรคมนาคมเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ
สอดคล้องกับ พรวุฒิ พิพัฒนเดชศักดิ์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค ที่เปิดเผยว่า การควบรวมกิจการโทรคมนาคมในไทยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 เมื่อบอร์ด กสทช. รับทราบการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค แม้สภาผู้บริโภคจะพยายามยับยั้งผ่านการฟ้องศาลปกครองและแจ้งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อไม่ให้นำบริษัทใหม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่กระบวนการยังคงเดินหน้าต่อ ส่งผลให้หุ้นของบริษัทใหม่เริ่มซื้อขายในเดือนมีนาคม 2566
ต่อมาในปี 2567 สภาผู้บริโภคได้จัดทำรายงานตรวจสอบบทบาทของ กสทช. ว่ามีการดำเนินงานที่เหมาะสมหรือไม่ ขณะที่ในปี 2566 กสทช. ได้อนุมัติการควบรวมกิจการอินเทอร์เน็ตบ้านระหว่าง AIS และ 3BB ซึ่งส่งผลให้สภาผู้บริโภคต้องเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบความโปร่งใสของบอร์ด กสทช. และกระบวนการควบรวมดังกล่าว
หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม ระบุว่า การควบรวมสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น การที่บริษัทหนึ่งรวมเข้ากับอีกบริษัทจนเหลือเพียงบริษัทเดียว หรือการผสานสองบริษัทเป็นองค์กรใหม่ทั้งหมด โดยหลักแล้ว การควบรวมกิจการไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสม เพราะหากไม่มีมาตรการที่รัดกุม อาจนำไปสู่การลดการแข่งขันในตลาด ทำให้ค่าบริการแพงขึ้นและผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง
อย่างไรก็ตาม หากหน่วยงานกำกับดูแลสามารถควบคุมให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม ก็อาจช่วยให้ผู้บริโภคได้รับบริการที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม ซึ่งในประเด็นการควบรวมกิจการโทรคมนาคมในไทยทั้ง 2 ครั้งต้องจับตาต่อไปว่าจะสร้างประโยชน์หรือเป็นภาระต่อผู้บริโภคมากกว่ากัน
ประชาชนต้องสู้เอง เมื่อหน่วยงานรัฐยังไร้แผนรองรับ
สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค ให้ความเห็นว่า ในยุคที่กลไกรัฐมีข้อจำกัดมากขึ้น บทบาทของภาคประชาชนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจสอบและผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของภาครัฐ อย่าง กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลโทรคมนาคม แต่กลับเผชิญปัญหาด้านความโปร่งใส กลไกตรวจสอบที่อ่อนแอลง และการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายที่อาจส่งผลเสียต่อการแข่งขันและสิทธิของประชาชน
การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ กสทช. เช่น การปรับเกณฑ์อายุกรรมการ หรือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการพ้นจากตำแหน่ง อาจทำให้การคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำหน้าที่มีข้อจำกัดมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการกำกับดูแล ภาคประชาชนจึงต้องมีบทบาทในการติดตาม ตรวจสอบ และเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปที่แท้จริง เพื่อรักษาความโปร่งใสและความเป็นธรรมในระบบโทรคมนาคมและสื่อสารของประเทศ

“รัฐบาลควรจะมีวิสัยทัศน์ส่งเสริมรัฐวิสาหกิจ แต่ดูเหมือนจะเป็นกับเป็นมิตรกับเอกชน จนละเลยรัฐวิสาหกิจ ทำให้ไม่สามารถจะเป็นคู่แข่งกับเอกชนได้ เพราะตัวเองก็อาจไม่รอด” สุภิญญา ระบุ
ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารฯ สภาผู้บริโภค ได้หยิบยกกรณีการฟ้องร้อง พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ซึ่งแสดงจุดยืนคัดค้านการควบรวม รวมถึงการทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคมาโดยตลอดว่า ขณะนี้ กรรมการ กสทช. รายนี้กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก และอาจไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ เนื่องจากข้อกฎหมายที่อาจถูกตีความให้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของกรรมการที่ยืนหยัดเพื่อประโยชน์สาธารณะ
“หากเสียงของกรรมการที่พยายามคุ้มครองผู้บริโภคถูกทำให้เงียบลง เท่ากับว่าโอกาสที่เราจะมีมาตรการกำกับที่เป็นธรรมก็ลดลงไปอีก” ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสารฯ สภาผู้บริโภค ระบุ
ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า ภาคประชาชนเตรียมเดินหน้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการตรวจสอบบทบาทของ กสทช. และเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่ออนาคตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
ขณะที่สังคมยังต้องจับตาดูว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาอุตสาหกรรมและการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้น โครงสร้างตลาดที่ผูกขาดมากขึ้น อาจนำไปสู่ภาวะที่ผู้บริโภคไม่มีอำนาจต่อรอง และต้องแบกรับภาระจากการกำกับดูแลที่ไร้ประสิทธิภาพต่อไป