คุณเคยสงสัยไหมว่า แอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อนที่แพร่ระบาดในไทย เชื่อมโยงไปถึงใคร? ใครคือผู้ควบคุมอยู่เบื้องหลังขบวนการที่ทำให้คนไทยหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อดอกเบี้ยโหด?
เมื่อสืบสาวราวเรื่องลงไปในเครือข่ายธุรกิจเงินกู้ผิดกฎหมาย ชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดคือ บริษัท แอมเบอร์ สตาร์ จำกัด (Amber Star Co., Ltd.) บริษัทที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับมีเส้นทางการเงินที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ
แอมเบอร์ สตาร์ – แค่บริษัทธรรมดา หรือศูนย์กลางขบวนการเงินกู้เถื่อน?
บริษัท แอมเบอร์ สตาร์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2563 ด้วยข้อมูลดังนี้
• เลขทะเบียนนิติบุคคล: 0115563013153
• ทุนจดทะเบียน: 2,000,000 บาท
• ที่ตั้งสำนักงาน: อาคาร Charter Square ย่านสาทร กรุงเทพฯ
• รายได้ปี 2566: 1,092,173,336.47 บาท
• กำไรสุทธิ: 11,554,161.25 บาท
กรรมการบริษัท คือ เทียน หงหยาง ชาวจีน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท พิโก แคปปิตอล ที่ได้รับใบอนุญาตสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด (PICO Finance) แต่ถูกสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเพิกถอนใบอนุญาตเมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากพบพฤติกรรมที่ขัดต่อกฎหมายทางการเงิน
ส่วนข้อมูลบนเอกสารการจดทะเบียน ระบุว่าทำธุรกิจ “รับประกันความเสี่ยงให้ผู้ให้บริการสินเชื่อ” แต่เมื่อเจาะลึกลงไปกลับพบว่า โครงสร้างธุรกิจของบริษัทนี้อาจเป็นเพียงฉากหน้าของขบวนการเงินกู้เถื่อนขนาดใหญ่ที่โยงใยไปไกลกว่าที่คิด
หลักฐานทางการเงินที่ซ่อนความลับไว้
การตรวจสอบเส้นทางการเงินของแอมเบอร์ สตาร์ เปิดเผยความจริงอันน่าตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นการมี หลักฐานสลิปโอนเงิน จำนวนมากจากผู้กู้ที่ใช้แอปฯกู้เงินเถื่อน ระบุให้โอนเงินไปยังบัญชีที่เชื่อมโยงกับแอมเบอร์ สตาร์ ขณะที่เมื่อเงินถูกโอนเข้าบัญชีของบริษัทนี้ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เงินเหล่านั้นถูกกระจายออกไปยังบัญชีอื่น ซึ่งมีลักษณะเหมือนการฟอกเงิน ส่วน บัญชีม้า และ แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ เช่น แฟลช์ เพย์ ที่ถูกใช้เป็นตัวกลางในการชำระเงินจากผู้เสียหายเช่นกัน
KN GROUP กับปฏิบัติการเงินกู้เถื่อนระดับโลก
ข้อมูลจากผู้หวังดีและผู้บริโภคหลายรายที่ให้ข้อมูลกับสภาผู้บริโภค ชี้ว่า แอมเบอร์ สตาร์ ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่เป็นฟันเฟืองสำคัญของเคเอ็น กรุ๊ป (KN GROUP) โฮลดิ้งคอมพานีจากประเทศจีนที่ดำเนินธุรกิจเงินกู้ผิดกฎหมายในประเทศไทยและอีกหลายประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ปากีสถาน เม็กซิโก เป็นต้น
ขบวนการ KN GROUP มีการวางโครงข่ายอย่างเป็นระบบเพื่อปกปิดเส้นทางเงินและทำให้ธุรกรรมดูถูกต้องตามกฎหมาย มีการตั้งบุคคลในเครือข่ายเป็นกรรมการนอมินี (กรรมการตัวแทน) อยู่เบื้องหลังการใช้บริษัทที่มีใบอนุญาตสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด (PICO Finance) เป็นที่ผ่านรายได้จากแอปฯเงินกู้เถื่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
รวมถึงการพัฒนาแอปฯเงินกู้เช่น สินเชื่อฉับไว (ปรากฏอยู่ในแอปฯ Fineasy บนมือถือ OPPO และ realme) สินเชื่อมงคล สินเชื่อแมวเหมียว สินเชื่อความสุข เงินกู้เอ็กซ์เพรส InstantIngot เป็นต้น โดยแอปฯ เหล่านี้มีเงื่อนไขโหดร้าย ดอกเบี้ยสูงเกินจริง และใช้วิธีข่มขู่โทรประจานกับบุคคลรอบข้างเมื่อผู้กู้ไม่สามารถจ่ายเงินคืนในเวลาที่สั้นกว่าโฆษณา (มิจฉาชีพอ้างว่าระยะเวลาชำระคืนอยู่ที่ 91-180 วัน โดยคิดดอกเบี้ยแค่ 20 กว่าบาท ต่อยอดเงินกู้ 1,000 บาท (ระยะเวลากู้ 91 วัน) แต่เมื่อกู้จริง หลังจากกู้ไปได้เพียง 5-7 วัน มิจฉาชีพจะเริ่มโทรทวงเงิน โดยอ้างว่าระยะเวลา 91-120 วันที่แจ้งตอนแรกเป็นแค่กลยุทธ์การตลาด และคิดอัตราดอกเบี้ยสูงถึงสัปดาห์ละ 300 บาทต่อยอดเงินกู้ 1,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อให้เหยื่อหาเงินมาใช้หนี้ไม่ทัน)
หลบเลี่ยงการตรวจสอบในไทยได้อย่างไร
เทคนิคที่เครือข่ายนี้ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายมีทั้งการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบในการสร้างความสัมพันธ์และ “เคลียร์ปัญหา” กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ มีผู้กำหนดกลยุทธ์ทางการเงินและวางแผนหลีกเลี่ยงกฎหมายเพื่อป้องกันการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐ รวมถึงทีมที่ดูแลระบบซอฟต์แวร์ของแอปฯ กู้เงินและจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าเหยื่อ
น่าสงสัยหรือไม่ว่า… ทำไมขบวนการนี้จึงสามารถดำเนินธุรกิจได้โดยไม่ถูกจับกุม? ใครกันที่อยู่เบื้องหลังและอาจให้การสนับสนุน? ถึงเวลาต้องมีคำตอบ ใครคือผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง?
คำถามสำคัญที่หน่วยงานรัฐต้องตอบประชาชนว่า เหตุใดบัญชีของแอมเบอร์ สตาร์ จำกัด จึงถูกใช้เป็นช่องทางรับเงินจากแอปฯ กู้เงินเถื่อนหลายแห่ง? KN GROUP และบริษัทลูกอย่างแอมเบอร์ สตาร์ สามารถดำเนินธุรกิจในไทยได้อย่างไรโดยไม่มีการตรวจสอบ? มีเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานใดให้การสนับสนุนขบวนการนี้หรือไม่? ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงจากต่างประเทศ พบว่า ปัจจุบันรัฐบาลฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย กำลังกวาดล้างเครือข่ายเงินกู้เถื่อนในประเทศของตน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเครือข่ายที่พบในไทย
สัญญาณเตือนภัยถึงผู้บริโภคไทย
การใช้แอปฯ กู้เงินเถื่อน ไม่ใช่แค่เรื่องดอกเบี้ยแพง แต่เป็นการเปิดช่องให้ขบวนการอาชญากรรมสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ รวมถึงการข่มขู่ คุกคาม และรีดไถเงินที่ผิดกฎหมายอีกด้วย
สภาผู้บริโภค เห็นว่า ถึงเวลาที่หน่วยงานในไทยต้องลงมืออย่างจริงจัง ก่อนที่เครือข่ายนี้จะขยายตัวและทำลายชีวิตผู้บริโภคไปมากกว่านี้ จึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงิน เร่งตรวจสอบความเชื่อมโยงของเครือข่ายนี้

อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อของแอปฯ กู้เงินเถื่อน หรือมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขบวนการผิดกฎหมายเหล่านี้ สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สภาผู้บริโภค ผ่านเบอร์ 1502 หรือออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ tcc.or.th หรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันกวาดล้างขบวนการนี้ให้หมดสิ้น
