สภาผู้บริโภคลุยฟ้องบริษัทในเครือศรีสวัสดิ์แทนผู้บริโภค หลังพบปัญหาดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ใช้กฎหมายอาญาบีบบังคับชำระหนี้ ปลอมแปลงเอกสารสัญญา พร้อมเตือนผู้กู้หลีกเลี่ยงเซ็นเอกสารเปล่าและร้องเรียนหากถูกเอาเปรียบ
วันนี้ (28 มกราคม 2568) สภาผู้บริโภคแถลงความพร้อมดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาแทนผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากบริษัทในเครือศรีสวัสดิ์ หลังพบปัญหาเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ใช้กฎหมายอาญาบีบบังคับชำระหนี้ และปลอมแปลงเอกสารสัญญา ทำให้ผู้กู้เผชิญความเสี่ยงติดคุกอย่างไม่เป็นธรรม
ใช้กฎหมายอาญาบีบบังคับผู้บริโภคและคำเตือนถึงผู้กู้
ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค เผยว่า ตั้งแต่ปี 2565 สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับบริษัทในเครือของศรีสวัสดิ์จากผู้บริโภคมากกว่าร้อยราย โดยปัญหาหลักที่พบคือ การถูกฟ้องร้องในคดีแพ่งและอาญา โดยบริษัทเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด รวมถึงค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าธรรมเนียมการยกเลิกสัญญาหรือการต่อสัญญา ซึ่งบางกรณีบริษัทฯ ใช้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจบังคับให้ผู้กู้ชำระหนี้ หากไม่สามารถชำระได้ก็จะถูกดำเนินคดีอาญา
“การกู้สินเชื่อปกติและเมื่อผู้บริโภคผิดนัดชำระควรเป็นการฟ้องร้องคดีแพ่ง แต่บริษัทฯ กลับใช้กฎหมายอาญาเป็นเครื่องมือในการบังคับชำระหนี้ ทำให้ผู้บริโภคบางรายที่กู้ยืมเพียงเล็กน้อยกลับต้องเผชิญความเสี่ยงที่จะติดคุกเพราะถูกแจ้งความดำเนินคดีอาญา ซึ่งเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในรูปแบบที่ไม่ควรเกิดขึ้น” ภัทรกรกล่าว พร้อมฝากเตือนผู้บริโภคว่า หากพบพฤติการณ์ที่ไม่ชอบธรรม เช่น การขอให้เซ็นเอกสารเปล่า การไม่แจ้งข้อเท็จจริง หรือไม่ส่งมอบสำเนาสัญญา ควรหลีกเลี่ยงและพิจารณาเลือกใช้บริการบริษัทที่ให้สินเชื่ออย่างโปร่งใส
“ถ้าคุณทำสินเชื่อกับบริษัทในเครือของศรีสวัสดิ์ เช่น บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด มีโอกาสสูงที่จะถูกเปลี่ยนจากคดีแพ่งเป็นคดีอาญา” ภัทรกรกล่าว พร้อมแนะนำให้ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบร้องเรียนมาที่สภาผู้บริโภคผ่านสายด่วน 1502 หรือช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.tcc.or.th เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง
สัญญาสำเร็จรูปและดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
ด้าน โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวถึงปัญหาใหญ่ที่ผู้บริโภคต้องเผชิญจากการกู้ยืมเงินกับบริษัทในเครือของศรีสวัสดิ์ โดยชี้ว่าสัญญาที่บริษัทใช้กับผู้กู้เป็น “สัญญาสำเร็จรูป” ที่ใช้ครอบคลุมทุกกรณี โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างในสถานการณ์ของผู้กู้ นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริโภคจำนวนมากไม่ได้รับสำเนาสัญญากู้ หลังทำสัญญาเงินกู้ ทำให้ขาดหลักฐานสำคัญในการตรวจสอบเงื่อนไข เช่น การคำนวณดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการผ่อนชำระ เป็นต้น
“เมื่อไม่มีสัญญาในมือ ผู้กู้ก็ไม่มีโอกาสปกป้องสิทธิของตัวเอง และยังเสียเปรียบในกระบวนการทางกฎหมายอีกด้วย ซึ่งการไม่มอบสัญญาถือเป็นความผิดทางอาญา ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.” โสภณ กล่าว
อีกหนึ่งปัญหาคือการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด (ปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกิน 15% ต่อปี) แต่บริษัทกลับเรียกเก็บในอัตราที่สูงถึง 24% ต่อปี โดยไม่ได้ขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีดังกล่าวสภาผู้บริโภคได้ส่งเรื่องร้องเรียนไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งปัจจุบัน DSI รับเป็นคดีพิเศษแล้ว
“การกู้ยืมเงินไม่ควรนำไปสู่การถูกดำเนินคดีอาญา หรือทำให้ผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อของการเอาเปรียบทางกฎหมาย สิ่งที่สภาผู้บริโภคกำลังเดินหน้าฟ้องร้องจึงไม่ใช่แค่ช่วยผู้บริโภคในปัจจุบัน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้กับผู้ประกอบการรายอื่นอีกในอนาคต รวมถึงสภาผู้บริโภคจะส่งเรื่องถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ตรวจสอบว่าบริษัทในเครือของศรีสวัสดิ์ได้จดทะเบียนและดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องหรือไม่ สำหรับประเด็นการใช้หลักประกันทางธุรกิจ” หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองฯ สภาผู้บริโภคกล่าว พร้อมฝากให้ผู้บริโภคตรวจสอบข้อมูลบริษัทสินเชื่อก่อนทำสัญญา และรายงานพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมมายังสภาผู้บริโภคผ่านช่องทางรับเรื่องร้องเรียนของสภาผู้บริโภค
พัฒนาการการเอาเปรียบผู้บริโภค
ขณะที่ทนายนันณภัชสรณ์ เตชปัญญาพิพัฒน์ ทนายความรับผิดชอบคดีเกี่ยวกับเงินกู้ศรีสวัสดิ์ เปิดเผยถึงพัฒนาการของการเอาเปรียบผู้บริโภคที่บริษัทในเครือของศรีสวัสดิ์นำมาใช้ ตั้งแต่การคิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดซึ่งสูงถึง 24% ต่อปี (หากบริษัทไม่ได้ขออนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยเกิน 15% ได้) รวมถึงการเก็บค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยเพิ่มเติมอย่างไม่โปร่งใส ทำให้ผู้บริโภคหลายรายไม่สามารถหลุดพ้นจากหนี้ได้ แม้จะจ่ายเงินต้นไปแล้วก็ตาม บางกรณีจ่ายเงินต้นไปแล้วแต่ยังมีหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่ไม่โปร่งใส
นอกจากนี้ ยังพบว่าบริษัทเริ่มใช้วิธีนำลายเซ็นที่ผู้บริโภคเซ็นไว้ในกระดาษเปล่าไปดัดแปลงเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อฟ้องร้องผู้กู้ โดยอ้างต่อศาลว่าผู้กู้เป็นผู้ออกเอกสารดังกล่าวเพื่อเป็นหลักประกัน ทั้งที่ตามข้อเท็จจริงผู้กู้ไม่เคยทราบมาก่อน ต่อมาบริษัทได้ปรับกลยุทธ์การเอาเปรียบผู้กู้อีกครั้ง โดยมีการนำเอกสารดังกล่าวไปจดทะเบียนเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ซึ่งหากผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนด บริษัทสามารถบังคับยึดหลักประกันโดยไม่ผ่านกระบวนการศาล และหากผู้กู้ปฏิเสธยังเสี่ยงถูกดำเนินคดีอาญาอีกด้วย อย่างไรก็ตามทนายความผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าว ระบุว่า ศาลเคยมีคำพิพากษาในบางคดีที่บริษัทฯ ฟ้องร้องผู้กู้ว่าเป็น “นิติกรรมอำพราง” อีกด้วย
“บริษัทศรีสวัสดิ์เคยประกาศต่อสาธารณชนว่าจะปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้โปร่งใสและไม่เอาเปรียบผู้บริโภค แต่ในทางกลับกันปัจจุบันพบว่าบริษัทฯ กลับยิ่งหาวิธีที่แยบยลและปกปิดมากขึ้น เพื่อเอาเปรียบผู้กู้ให้ได้มากที่สุด” ทนายนันณภัชสรณ์กล่าว พร้อมเตือนผู้บริโภคให้หลีกเลี่ยงการเซ็นเอกสารเปล่า และตรวจสอบรายละเอียดทุกครั้งก่อนทำสัญญา หากพบพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรม สามารถร้องเรียนมายังสภาผู้บริโภคได้ทันที
ทนายความนันณภัชสรณ์ ทิ้งท้ายไว้ว่า บริษัทในเครือของศรีสวัสดิ์ใช้โฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่สร้างความเข้าใจผิด โดยใช้ชื่อแบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าทุกบริษัทในเครือได้รับการอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย
“ประชาชนที่ทำสัญญากู้ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตนเองทำสัญญากับบริษัทที่ไม่ได้รับอนุญาต ผู้กู้รู้ความจริงก็ต่อเมื่อถูกฟ้องร้องคดีขึ้นศาลแล้ว” ทนายผู้รับผิดชอบคดีฯ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ศรีสวัสดิ์ ติดประกาศ แก้ปมสัญญาไม่เป็นธรรม ตามข้อเสนอสภาผู้บริโภค
ศรีสวัสดิ์ พบสภาผู้บริโภค แก้ไข – เยียวยาปัญหา “สัญญาเงินกู้ไม่เป็นธรรม”
โดนฟ้อง โดนยึดโฉนด พบสัญญากู้เงินไม่เป็นธรรม ร้องสภาผู้บริโภค
สภาผู้บริโภคชนะ 10 คดี เงินกู้ ‘ศรีสวัสดิ์’ หนุนดีเอสไอจัดการปัญหาที่ต้นเหตุ