สัญญาผูกมัดทำผู้บริโภคต้องจ่าย “ค่าไฟแพง” พบ 5 โรงไฟฟ้าเอกชนจาก 13 แห่ง ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแต่กลับได้รับค่าความพร้อมจ่าย รวมสูงถึง 8,023.33 ล้านบาท
ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องจ่ายค่าไฟเท่าไรให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่? ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – เมษายน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (Independent Power Producers: IPPs) ทั้งหมด 13 โรงไฟฟ้า ภายใต้สัญญาแบบ “ไม่ใช้(ไฟ)ก็ต้องจ่าย” หรือที่เรียกว่า ค่าความพร้อมจ่าย โดยที่ผลจากราคาซื้อขายไฟฟ้าตลอด 4 เดือนแรกมีปริมาณรวม 23,886.25 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 68,449.88 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องจ่ายอยู่ที่ 2.87 บาทต่อหน่วย
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงต้นทุนการจัดหาพลังงานไฟฟ้าที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้าของผู้บริโภคโดยตรง
เปิดประเด็นร้อน ค่าความพร้อมจ่าย “จ่ายแม้ไม่ผลิต”
หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้จะมีการซื้อไฟฟ้าอย่างมหาศาล แต่กลับพบว่า 5 โรงไฟฟ้าเอกชน ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเลยตลอดช่วง 4 เดือนนี้ ทว่ากลับได้รับค่าความพร้อมจ่าย รวมเป็นเงินสูงถึง 8,023.33 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.7% ของงบการซื้อไฟฟ้าทั้งหมด
ค่าความพร้อมจ่ายคืออะไร?
ค่าความพร้อมจ่าย หรือ “ไม่ใช้ไฟก็ต้องจ่าย” เป็นเงื่อนไขในสัญญาที่กำหนดให้ กฟผ. ต้องจ่ายเงินเพื่อให้โรงไฟฟ้าเอกชนเตรียมพร้อมเดินเครื่องทุกเมื่อที่มีความต้องการไฟฟ้าพุ่งสูง แม้ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้งานจริง จุดนี้เองที่กลายเป็นประเด็นถกเถียงถึงความคุ้มค่าและความโปร่งใสในระบบพลังงานของประเทศ
ผลกระทบต่อค่าไฟผู้บริโภค
แม้ราคาค่าไฟเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2.87 บาทต่อหน่วย แต่การจ่ายค่าความพร้อมจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตไฟจริง กลับสร้างแรงกดดันต่อโครงสร้างต้นทุนค่าไฟ และอาจส่งผลให้ค่าไฟของผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว
จุดที่ต้องจับตา: ความโปร่งใสในระบบพลังงาน
ในยุคที่ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานและต้นทุนการผลิตมากขึ้น การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสในการจัดการไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งจำเป็น ความคุ้มค่าในการลงทุนและการบริหารจัดการไฟฟ้าคือสิ่งที่สังคมควรร่วมกันตั้งคำถาม เพื่อให้มั่นใจว่าค่าไฟที่จ่ายนั้นสะท้อนคุณภาพและประสิทธิภาพที่แท้จริง
ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนจะต้องทบทวนและปรับปรุงระบบบริหารจัดการพลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและความเป็นธรรมสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า