สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) รวบรวมนโยบายของ 7 ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคใน 9 ด้าน โดยแต่ละด้านที่ว่านั้น อ้างอิงมาจากการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคของ สอบ. ที่แบ่งออกเป็น 8 ด้าน + 1 คณะทำงาน ได้แก่ 1) การขนส่งและยานพาหนะ 2) อสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย 3) การเงินและการธนาคาร 4) สินค้าและบริการทั่วไป 5) บริการสุขภาพ 6) บริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม 7) อาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ 8) การสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ และ 9) การทำงานด้านการศึกษา
ตามไปดู ตามไปอ่าน นโยบายของผู้สมัครฯ ผู้ว่าฯ กทม. ในโค้งสุดท้าย ว่าแต่ละคนจะมีนโยบายในการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างไรบ้าง…
ประเด็นแรก นโยบายด้านการขนส่งและยานพาหนะ ที่เป็นประเด็นปัญหาที่อยู่คู่กับคน กทม. มาอย่างยาวนาน ทั้งปัญหารถติด หรือปัญหารถสาธารณะไม่เอื้อกับมวลชนในการเข้าถึงบริการ เช่น รถไฟฟ้าราคาแพง รถเมล์มาไม่ตรงเวลา แถมพนักงานยังขับรถไม่สุภาพ รวมทั้งในกระแสโซเชียลยังมีการร้องขอให้เปิดเผยสัญญาณสัมปทานรถไฟฟ้าให้โปร่งใส เพราะประชาชนจะต้องเป็นผู้ร่วมตัดสินใจในการต่อสัญญาสัมปทานนั้น เป็นต้น
ในประเด็นปัญหาด้านการขนส่งฯ นี้ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ส่วนใหญ่มองว่า รัฐบาลไม่ควรต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส ด้าน ‘วิโรจน์ ลักขณาอดิศร’ มองว่าควรมีการเปิดสัญญาสัมปทานเดิมที่ทำกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว และในอนาคตไม่ควรต่อสัญญาสัมปทานอีกแล้ว รวมถึงยังเห็นว่าการผลักดันให้เกิดตั๋วร่วมในราคา 15 – 45 บาทตลอดสายสามารถทำได้
เช่นเดียวกับ ‘รสนา โตสิตระกูล’ ที่เห็นว่า รัฐไม่ควรต่อสัญญาสัมปทานกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว และจะผลักดันค่าโดยสารรถไฟฟ้าในอัตรา 20 บาทตลอดสาย ส่วน ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ เห็นเช่นเดียวกับอีก 2 คน คือ ไม่ควรต่อสัญญาสัมปทาน และ ควรเปิดเผยสัญญาสัมปทานเดิมออกมา รวมทั้งยังสนับสนุนให้ค่าโดยสารต่อเที่ยวมีราคาอยู่ระหว่าง 25 – 30 บาทตลอดสาย
รวมไปถึง ‘ศิธา ทิวารี’ ที่มองว่า ไม่ควรต่อสัญญาสัมปทานกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวเช่นเดียวกัน และจะผลักดันตั๋วร่วมให้เกิดขึ้นให้ได้ ขณะที่ ‘อัศวิน ขวัญเมือง’ เห็นว่า การต่อสัญญาสัมปทานกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวและการเก็บค่าโดยสารในราคาสูงสุดไม่เกิน 65 บาท จะทำให้มวลชนสามารถเข้าถึงบริการรถไฟฟ้าได้
นอกจากนี้ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ยังเสนอนโยบายที่ต้องการทำให้ระบบขนส่งมวลชนมีคุณภาพ เชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ ในด้าน ‘สกลธี ภัททิยกุล’ ก็มีความพยายามจะเชื่อมระบบล้อ ราง เรือให้เกิดขึ้นทั่วกรุงเทพฯ ขณะเดียวกัน ‘สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ มีความพยายามที่จะแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ด้วยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยจัดการ
ถัดมาในประเด็นอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. แต่ละคนมีความพยายามที่จะทำให้ กทม. มีผังเมืองที่น่าอยู่ โดนพยายามจะแบ่งโซนของผังเมืองให้เป็นสัดเป็นส่วน รวมถึง นำเสนอนโยบายในการจัดระเบียบไม่ให้กลุ่มทุนเข้ามาครอบครองผังเมืองด้วย
ขณะที่ประเด็นด้านการเงินการธนาคารนั้น เน้นไปการทำให้ผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ หรือคนที่เกษียณอายุไปแล้ว มีรายได้ที่ได้รับการอุดหนุนจากส่วนกลางเพิ่มมากขึ้น ทั้งการเพิ่มเงินผู้สูงอายุ เพิ่มเงินของเด็กและคนพิการ รวมถึงการเพิ่มเงินบำนาญให้ประชาชน
ส่วนประเด็นด้านสินค้าและบริการทั่วไป ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. อย่าง วิโรจน์ เน้นไปที่การทำให้ศูนย์เด็กเล็กมีคุณภาพ มีมาตรฐานทัดเทียมเทียบกับของเอกชนได้ ส่วนอัศวินเน้นไปที่การทำให้หน่วยงานราชการ กทม. มีความโปร่งใส เชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ได้ทันท่วงทีและรวดเร็ว ขณะที่ รสนาเน้นไปที่การทำให้การค้าขายเป็นไปอย่างถูกกฎหมายมากยิ่งขึ้น รวมถึงเน้นให้มีความสะอาด ปลอดภัย และมีพื้นที่ทำเลที่ดีในการรองรับการค้าขาย
ด้านประเด็นบริการสุขภาพ ส่วนใหญ่เน้นนำเสนอนโยบายที่ดูแลสุขภาพประชาชน หรือการเข้ารับการรักษาพยาบาลให้เป็นไปอย่างทันท่วงที ทั่วถึง ครอบคลุมทุกพื้นที่ และมีระบบที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
มาต่อที่ประเด็นบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ทั้ง 7 คน เน้นหนักในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว มีสวนสาธารณะมากขึ้น รวมทั้งการจัดการปัญหาขยะ ทั้งการจัดเก็บขยะให้เป็นระบบ แยกขยะให้มากขึ้น และเปลี่ยนขยะให้เป็นรายได้ เริ่มที่วิโรจน์ นำเสนอนโยบายเปลี่ยนที่รกร้างเป็นสวนสาธารณะ ขณะที่ สกลธีมีความพยายามที่จะลดขยะ และแยกขยะให้มากขึ้น อีกทั้งการเพิ่มสวนสาธารณะขนาดเล็กทั่วเมือง ด้าน สุชัชวีร์จะปฏิวัติระบบการจัดเก็บขยะ จัดการฝุ่น PM2.5 และผลักดันสวนสาธารณะฉบับกระเป๋า
ส่วน อัศวินจะเดินหน้าปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและทำคลองต่าง ๆ ให้น้ำในคลองใสขึ้น ขณะที่ รสนานั้น เน้นไปทำเรื่องกองทุนหลังคาบ้านโซลาร์เซลล์ ด้าน ชัชชาตินำเสนอแนวคิดเปลี่ยนขยะเป็นรายได้ และผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นด้วย ปิดท้ายที่ ศิธาที่จะผลักดันให้มีพื้นที่รองรับสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงเพิ่มพื้นที่สีเขียวใน กทม. ให้มากขึ้น
ส่วนในประเด็นการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่ละคนพยายามทำให้ กทม. กลายเป็นเมืองดิจิทัล โดยการติดตั้งไวไฟฟรีทั่วเมือง เตรียมพร้อมในเรื่องความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ รวมถึงการปรับเปลี่ยนระบบการยื่นขอใบอนุญาตต่าง ๆ ให้เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ ในประเด็นอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพนั้น ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. อย่างสุชัชวีร์ เน้นนโยบายเรื่องอาหารดี มีคุณภาพ
ขณะที่ รสนาเน้นนโยบายที่ทำให้อาหาร ยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพต่าง ๆ ถูกกฎหมาย มีคุณภาพ ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และในประเด็นสุดท้าย อย่างประเด็นการศึกษา แต่ละคน นำเสนอนโยบายที่ทำให้โรงเรียนเป็นสถานที่ที่ตอบโจทย์นักเรียน ปรับหลักสูตรมีคุณภาพและเหมาะสมขึ้น รวมถึงสนับสนุนให้โรงเรียนมีพื้นที่ให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมอื่น ๆ สำหรับเด็ก
นโยบายของแต่ละคนตอบโจทย์ผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด และใครมีนโยบายคุ้มครองผู้บริโภคที่โดนใจ วันอาทิตย์ ที่ 22 พฤษภาคม 2565 นี้ ! สอบ. สนับสนุนชาว กทม. ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกัน