สภาผู้บริโภค หนุน กกพ. ชงรัฐ ทบทวนค่า ‘แอดเดอร์’ พลังงานหมุนเวียน ชี้ทำให้ผู้บริโภคจ่ายค่าไฟถูกลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท/หน่วย แนะเพิ่มข้อเสนอเรื่องการลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่คืนทุนและมีกำไร
จากกรณีที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีข้อเสนอถึงคณะรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่จะส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่เรียกว่า แอดเดอร์ (Adder) และ ฟิต (FiT : Feed-in Tariff) ซึ่งมีต้นทุนการรับซื้อไฟฟ้าสูงกว่าราคาต้นทุนจริงในภาวะปัจจุบัน และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติ ทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น ซึ่งหากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 33,150 หมื่นล้านบาทต่อปี นั้น (อ่านข่าวฉบับเต็มได้ที่ : ‘กกพ.’ ชงรัฐทบทวน Adder – FiT หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท/หน่วย)
ล่าสุด นางสาวรสนา โตสิตระกูล คณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคเคยมีข้อเสนอเรื่องแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟฟ้าไปยังคณะรัฐมนตรี โดยหนึ่งในข้อเสนอของสภาผู้บริโภค คือ การยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ
อ่านข้อเสนอเรื่องแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟฟ้าของสภาผู้บริโภคได้ที่ : เสนอ ตรึงค่า Ft ม.ค. – เม.ย. 68 ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าประชาชน
“กกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เพราะที่ผ่านมาเอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ที่หมดอายุ 8 – 10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำ ๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด” นางสาวรสนาระบุ
อย่างไรก็ตาม นางสาวรสนากล่าวชื่นชม กกพ. ว่า การตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม (Adder) เป็นสิ่งที่ถูกต้อง “มาช้าดีกว่าไม่มา” เพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมาก ทำให้บริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและได้กำไรเป็นระยะเวลานานพอสมควร การยกเลิกการต่อสัญญาอัตโนมัติจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย
ทั้งนี้ สิ่งที่ กกพ. ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือขอให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว ข้อมูลจากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม – เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หรือประมาณ 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใช้ทั้งประเทศประมาณ 200,000 ล้านหน่วย/ปี นั่นแปลว่าประชาชนจะได้ใช้ไฟฟ้าราคาที่ถูกลง 29-30 สต./หน่วย
แม้ตามสัญญาค่าความพร้อมจ่ายอาจจะไม่สามารถยกเลิกได้แต่รัฐบาลสามารถใช้ประเด็น ‘เหตุสุดวิสัย’ ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐเพื่อลดค่าไฟ เปิดให้มีการเจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายในโรงไฟฟ้าที่คืนทุนแล้ว หรือไม่มีการผลิตแต่ยังได้ค่าความพร้อมจ่าย โดยแลกกับการขยายสัญญารับซื้อไฟต่อให้อีก 1 – 2 ปีหลังหมดสัญญา และสิ่งสำคัญคือไม่ควรทำสัญญาที่มีค่าความพร้อมจ่ายเพิ่มกับโรงไฟฟ้าอีก
“กกพ.ควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน” รสนากล่าวทิ้งท้าย