สภาผู้บริโภคเสนอคณะรัฐมนตรีเคาะค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูไม่เกิน 20 บาท เท่ากับรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงเพื่อให้ทุกคนขึ้นได้ อย่าให้ซ้ำรอยสายสีเหลืองที่คิดราคาแพงเกินจริง
ตามที่กระทรวงคมนาคมกำหนดเปิดให้รถไฟฟ้าสายสีชมพูทดลองนั่งฟรีเริ่มวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 จากนั้นจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเชิงพาณิชย์ (เก็บค่าโดยสาร) ในวันที่ 18 ธันวาคม 2566 โดยคาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ กระทรวงคมนาคม จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบ เพื่อกำหนดอัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 15 บาท สูงสุด 45 บาท นั้น
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค หรือ สภาผู้บริโภค เห็นว่า ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูในราคาเริ่มต้นที่ 15 – 45 บาทต่อเที่ยวนั้นเป็นราคาที่สูงเกินไปสำหรับผู้บริโภค ที่ต้องเผชิญปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการเปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีเหลืองในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จะพบว่าผู้ที่ต้องสัญจรในเส้นทางดังกล่าวได้ส่งเสียงสะท้อนถึงราคาค่าโดยสารที่กำหนดไว้ที่ 15-45 บาทต่อเที่ยวว่าแพงเกินกว่าจะแบกรับได้
จากข้อมูลของนักวิชาการ ของกรมราง และของกรุงเทพมหานคร นั้นสรุปได้ว่า การกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูสูงสุดตลอดสายไม่เกิน 20 บาทเพียงพอกับค่าบริหารจัดการเดินรถของเอกชน โดยที่รัฐบาลไม่ต้องสมทบและไม่ขาดทุน เพราะสายสีชมพูมีเส้นทางวิ่งผ่านจุดเศรษฐกิจสำคัญ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล แหล่งชุมชนต่าง ๆ
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคได้อ้างอิงผลการศึกษาของนักวิชาการที่ชี้ว่าค่าใช้จ่ายเดินรถต่อคนต่อเที่ยวของผู้บริโภคระหว่างปี พ.ศ. 2557–2562 มีต้นทุนเฉลี่ยต่อคนต่อเที่ยวโดยสารระหว่าง 10.10– 16.30 บาท ขึ้นกับจำนวนผู้โดยสารและค่าใช้จ่ายในแต่ละปี รวมถึงผลการศึกษาของกรุงเทพมหานครในปัจจุบันที่ยืนยันว่า ค่าบริการเดินรถประมาณ 11 – 13 บาทต่อคนต่อเที่ยว
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาของโครงการศึกษากำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้า และหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบรางของกรมการขนส่งทางรางที่ระบุว่า ค่าเฉลี่ยต้นทุนงานระบบรถไฟฟ้าต่อผู้โดยสาร (30 ปี) ถ้าเป็น Heavy rail จะอยู่ที่ 14.31 บาท หรือ LRT หรือ Monorail จะอยู่ที่ 11.67 บาท เท่านั้น
อนึ่ง กระทรวงคมนาคมได้คาดการณ์ว่า เมื่อเปิดทดลองให้นั่งฟรีจะมีผู้มาใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูมากกว่า 1 แสนคนต่อวัน และเมื่อเก็บค่าโดยสารแล้ว คาดว่าผู้โดยสารจะลดลงเหลือประมาณ 5-6 หมื่นคนต่อวัน
เพื่อสนับสนุนรถไฟฟ้าสายสีชมพูเป็นบริการขนส่งสาธารณะอย่างแท้จริงที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวันจริง สภาผู้บริโภคจึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณากำหนดค่าโดยสารสายสีชมพูในราคาสูงสุดไม่เกิน 20 บาทเช่นเดียวกับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดงและรถไฟฟ้าสายสายสีม่วง
ทั้งนี้ หากพิจารณา ข้อมูลกระทรวงคมนาคมพบว่าตลอดเวลา 1 เดือนของการใช้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทพบว่า มีค่าเฉลี่ยของปริมาณผู้โดยสารระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงในช่วงวันทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.47 และช่วงวันหยุดมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.84 และมีผู้โดยสารสูงสุดในวันที่ 27 ตุลาคม 2566 ที่เพิ่มขึ้นถึง 34,018 คน ขณะที่ค่าเฉลี่ยของปริมาณผู้โดยสารระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงวันทำงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.72 และช่วงวันหยุดมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.88 และมีผู้โดยสารสูงสุดในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นสูงสุด 76,926 คน
จะเห็นได้ว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทมีผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถยนต์ และมีผู้โดยสารมาใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้น จะลดค่าเดินทางด้วยรถยนต์ ประเมินมูลค่าการเงินทางด้านเศรษฐศาสตร์ และเวลาในการเดินทาง ค่าความสุข และการลดความสูญเสียทางถนน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งสิ้น 79.35 ล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 952.23 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมที่คุ้มค่ามาก
นอกจากนี้ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคและภาคประชาสังคมได้รณรงค์ให้ “ขนส่งมวลชนทุกคนขึ้นได้ทุกวัน”โดยให้รัฐตั้งเป้าหมายสนับสนุนให้ประชาชนเดินออกจากบ้านไม่เกิน 500 เมตรจะเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะเพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในเทศกาลต่างๆ การจราจรที่ติดขัด และปัญหาสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ปัญหาโลกร้อนที่ยังไม่สามารถจัดการได้ ซึ่งโดยหลักการ “ใครก่อเหตุคนนั้นจ่าย” ผู้ที่ใช้รถยนต์ที่สร้างมลพิษอาจจะต้องรับผิดชอบต่อการเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของ PM 2.5 เช่นกัน
ขอบคุณภาพ : กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม
#ผู้บริโภค #สภาองค์กรของผู้บริโภค #สภาผู้บริโภค #ผู้บริโภค #รถไฟฟ้า #การเดินทาง #ค่าเดินทาง #บริการสาธารณะ #ขนส่งสาธารณะ#ขนส่งมวลชน