ร้อง! หมอเมฆคลินิก ฉีดฟิลเลอร์เกินขนาด ทำหน้าเบี้ยวผิดรูป เสี่ยงอันตราย

ผู้บริโภคร้อง! คลินิกเสริมความงามหมอเมฆ อ้างเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อัดฟิลเลอร์เกินขนาดจนหน้าเบี้ยวผิดรูป พร้อมสะท้อนการทำงานหน่วยงานรัฐล่าช้า ขาดความร่วมมือ

จากกรณีสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียน พบผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการฉีดฟิลเลอร์เกินกว่าที่ตกลงไว้ ส่งผลให้หน้าเบี้ยวผิดรูป และยังพบผู้เสียหายเกือบ 10 ราย ที่ได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน วันนี้ 17 ตุลาคม 2567 สภาผู้บริโภค จัดแถลงข่าวในหัวข้อ “ใช้บริการเสริมความงามไม่ได้มาตรฐาน – ไม่ใช่หมอเฉพาะทาง เสี่ยงอันตราย”

ทพญ.เกศริน ชัฎสุนทร ตัวแทนผู้เสียหาย เผยว่า เห็นโฆษณาของคลินิกเสริมความงาม จึงได้ติดต่อสอบถามและโอนมัดจำค่าปรึกษาไป 1 พันบาท และเข้าใช้บริการเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 เดิมทีตั้งใจจะฉีดฟิลเลอร์คนเดียว แต่แพทย์เจ้าของคลินิกได้ชักชวนให้พี่สาวและคุณแม่ฉีดด้วย ซึ่งนำรีวิวมาโฆษณาจึงตัดสินใจฉีดทั้งฟิลเลอร์ทั้ง 3 คน โดยก่อนที่ทำหัตถการแพทย์ได้ประเมินปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องที่ฉีด แต่เมื่อทำหัตถการปริมาณที่ฉีดจริงกลับมากกว่าที่ประเมินมาคนละ 7 ซีซี โดยไม่แจ้งล่วงหน้าและมาเรียกเก็บเงินเพิ่มตามจำนวนซีซีที่ฉีด รวมมูลค่าความเสียหาย 1 ล้านกว่าบาท

“ต้องเรียนตรง ๆ ว่าเราก็ศึกษาไม่ดี เพราะดูโฆษณาและรีวิวก็ดูดี แล้วประกอบประวัติหมอในเว็บไซต์ใช้คำว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง จึงหลงเชื่อ แต่เมื่อพบปัญหาหลังจากใช้บริการได้ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม และพบว่า ข้อมูลของหมอในเว็บไซต์แพทยสภา ไม่ได้ระบุว่าเป็นแพทย์เฉพาะทางแต่อย่างใด” ตัวแทนผู้เสียหายเผย

ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง เสี่ยงอันตราย

นอกจากนี้ ทพญ.เกศรินได้สอบถามข้อมูลจากแพทย์ท่านอื่น ถึงกรณีปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีด ต่างให้ความเห็นว่า ได้รับฟิลเลอร์เกินขนาด เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น เส้นเลือดอุดตันที่อาจทำให้เกิดภาวะเนื้อตาย และอาจเข้าไปสู่เส้นเลือดที่เลี้ยงดวงตาทำให้ตาบอดได้ ภาวะฟกช้ำที่เกิดจากเข็ม

“การฉีดฟิลเลอร์ต้องอาศัยความชํานาญของหมอ เพราะเป็นสารที่เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ฉีดเข้าในร่างกาย เนื่องจากใบหน้าคนเรามีเส้นเลือดเส้นประสาทเยอะ เห็นได้ชัดแพทย์คนดังกล่าวไม่ได้ใส่ใจถึงความปลอดภัยของคนไข้ ไม่สนใจผลข้างเคียงหรือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับใบหน้าคนไข้ เช่น หน้าผิดรูปหน้าเบี้ยว ฟิลเลอร์เข้าหลอดเลือดและอาจทำให้คนไข้ตาบอดได้”

ปัญหาของหน่วยงานรัฐ

ทพญ.เกศริน ได้เผยต่อว่า เมื่อเกิดปัญหาได้ไปร้องเรียนกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและขอข้อมูลเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) และแพทยสภา แต่เพราะความล่าช้าในการดำเนินการของหน่วยงานรัฐ ส่งเอกสารไป 10 วัน ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างไร ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เพราะไม่มีเอกสารหลักฐานเพียงพอ

“หน่วยงานราชการไม่ให้ความร่วมมือ เหมือนกับว่าเราเป็นแค่ประชาชนทั่วไป มาเขียนคําร้องเสร็จก็ให้กลับบ้านไปก่อน ทุกวันนี้ถ่ายเอกสารที่จะใช้ไปยื่นเยอะมาก เพราะหน่วยงานที่ไปแจ้งก็ขอหลักฐาน เราต้องทำหน้าที่ในการหาหลักฐานเอง ว่าผู้ให้บริการผิดอย่างไร” ผู้เสียหายเผยถึงปัญหาของระบบราชการ

แพทย์ทั่วไปไม่มีหลักสูตรฉีดฟิลเลอร์  

ขณะที่ พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ แพทย์ผู้ชำนาญการศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า กล่าวถึงหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตที่เรียน 6 ปีจบมาเป็นแพทย์ทั่วไป และในหลักสูตรแพทย์ทั่วไปไม่มีการสอนเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม การฉีดฟิลเลอร์ หรือการฉีดโบท็อก มีเพียงแค่การสอนทำหัตถการอย่างเจาะเลือด ฉีดยา ซึ่งหัตถการการฉีดสารฟิลเลอร์ การศัลยกรรมเสริมจมูก หรือศัลยกรรมตาสองชั้น ไม่มีหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต และหากจะเพิ่มพูนทักษะจะต้องมีการศึกษาด้านแพทย์เฉพาะทางที่มีแพทยสภารับรอง

“แพทยสภาได้สร้างหลักสูตรแพทย์เฉพาะทางสาขาต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่น แพทย์อายุรกรรม แพทย์ศัลยกรรมแพทย์กระดูก แพทย์หูคอจมูก แพทย์เด็ก และหากเกิดปัญหาสุขภาพเฉพาะโรคการรับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทางก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแพทย์ทั่วไป”

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ ได้เสริมว่า กรณีต้องการเสริมความงาม การให้คำปรึกษาเกี่ยวมีความสำคัญอันดับที่หนึ่ง ถ้าไม่มีการปรึกษาที่ถูกต้องว่าสมควรจะรักษาด้วยวิธีใด แม้บางครั้งวิธีการเสริมความงามอาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามที่คนไข้คาดหวังไว้ แต่เหตุและผลต้องสอดคล้องกัน เช่น คนไข้สูงอายุผิวหนังหย่อนมาก แต่ต้องการใช้ยาฉีดซึ่งจะได้ผลหรือไม่ หรือควรจะใช้วิธีดึงหน้า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ต้องพิจารณาและแนะนำ ซึ่งแพทย์ต้องรู้ว่าขอบเขตที่เรียนมาของตนเองอยู่แค่ไหน และอะไรที่ไม่ควรทำการรักษาเพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคนไข้ร่วมด้วย

“จริยธรรมแพทย์และมาตรฐานแพทย์ต้องควบคู่กัน ไม่ว่าจะจบแพทยศาสตร์บัณฑิตหรือเป็นแพทย์ผู้ชํานาญการเพราะจริยธรรมแพทย์และมาตรฐานแพทย์ต้องอยู่ควบคู่กันไปกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมเสมอ จะจบแพทย์มานานแล้วหรือจบเมื่อวานนี้ เวลาไปทำงานในโรงพยาบาลจะต้องอยู่ในจริยธรรมและมาตรฐานทางการแพทย์ที่เรียนมา” แพทย์ผู้ชำนาญการศัลยศาสตร์กล่าว

เข้าข่ายการกระทำผิดหลายข้อหา

ด้าน ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค เผยว่า กรณีที่ผู้บริโภคได้เข้าร้องเรียนในประเด็นคลินิกเสริมความงาม เนื่องจากได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเรื่องสิทธิผู้บริโภคในการไม่ให้ข้อมูลข่าวสาร หรือทางการแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนมากกว่าพันราย ส่วนกรณีของนายแพทย์วัชพล ธนมิตรามณี หรือหมอเมฆนั้น หลังจากได้รับเรื่องเมื่อทำการสืบข้อเท็จจริง พบว่านายแพทย์ท่านนี้ไม่ได้รับอนุบัตรแพทย์ผู้ชำนาญการเรื่องเสริมความงาม คือเป็นแพทย์ทั่วไปไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางหรือผู้เชี่ยวชาญตามที่กล่าวอ้าง การกระทำดังกล่าว เข้าข่ายการกระทำผิดหลายข้อหาด้วยกัน ทั้งในส่วนของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ และพ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฯ

นอกจากนี้ หลังจากสืบค้นได้พบว่า เมื่อทางต้นปี 2567 หน่วยงานประจำจังหวัดสงขลาได้รับเรื่องร้องเรียนของคลินิกแห่งนี้ และมีการดำเนินการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเนื่องจากตัวผู้ร้องเองได้ฟ้องดำเนินคดีเองจึงมีการยุติเคสไป จนมาถึงกรณีล่าสุดกรณีของ ทพญ.เกศรินที่เข้ามาร้องเรียนกับสภาผู้บริโภค เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 และรวบรวมผู้เสียหาย ซึ่งตอนนี้มีผู้เสียหายเกือบ 10 ราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 3 ล้านบาท

“บทบาทของสภาผู้บริโภค ตอนนี้ได้ทำหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจ้งถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยขอให้ตรวจสอบแพทย์ผู้ดำเนินการ รวมทั้งยาที่ใช้ และข้อบ่งใช้ เนื่องจากพบว่า ยาที่ใช้เป็นลักษณะของยาทา แต่ได้นำมาฉีด ต้องตรวจสอบว่ามีการดำเนินการตามมาตรฐานวิชาชีพหรือไม่ ซึ่งน่าจะเข้าหลักกฎหมาย วิชาชีพสถานพยาบาล และวิชาชีพเวชกรรมด้วย โดยจะนำข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงนำดำเนินคดีต่อไป” ภัทรกรกล่าว

ทั้งนี้ สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการตรวจสอบแพทย์ผู้ทำหัตถการ ว่าเป็นแพทย์ผู้เชียวชาญหรือไม่ สามารถนำรายชื่อแพทย์ไปสืบค้น https://checkmd.tmc.or.th/  และสำหรับผู้บริโภคที่ได้รับความเสีย ขอให้ออกมาใช้สิทธิของท่าน อย่าปล่อยให้ผู้ประกอบได้ประโยชน์จากการละเมิดสิทธิ โดยสามารถร้องเรียนมาที่สภาผู้บริโภค โทร 1502 และทุกช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ของสภาผู้บริโภค

“ขอฝากถึงหน่วยงานรัฐขอให้มีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างกล้าหาญละรวดเร็ว อย่าให้ผู้ประกอบการคิดว่าการร้องเรียนไปก็ไม่มีผลกระทบ เพราะความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความไม่ยุติธรรมของผู้บริโภคที่เสียหาย” รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองฯ ฝากทิ้งท้ายถึงหน่วยงานภาครัฐ

สามารถติดตามแถลงข่าวย้อนหลังได้ที่ :: เพจ สภาองค์กรของผู้บริโภค