ชนะคดี! ผู้บริโภคถูกแบงก์ฟ้อง โดนหลอกดูดเงินบัตรเครดิต

ชนะคดี! ผู้บริโภคถูกแบงก์ฟ้อง โดนหลอกดูดเงินบัตรเครดิต

สภาผู้บริโภค ช่วยเหลือกรณีผู้บริโภคถูกบัตรกรุงไทยฟ้องคดี จากการถูกมิจฉาชีพแฮกแอปฯ บัตรเครดิตและดูดเงิน

วันที่ 17 กันยายน 2567 โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานประจำจังหวัดกรุงเทพฯ ของสภาผู้บริโภค ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีผู้บริโภคถูกมิจฉาชีพเข้าถึงแอปพลิเคชันบัตรเครดิต KTC และเบิกถอนเงินสดออกไปยังบัญชีธนาคารกรุงไทย อีกทั้งยังถูกดูดเงินออกจากบัญชีดังกล่าว จึงได้โทรศัพท์เพื่อแจ้งเครดิตและแจ้งความไว้ด้วย ต่อมาผู้บริโภครายดังกล่าวถูกบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ฟ้องเนื่องจากไม่ได้ชำระค่าบริการตามรายการที่ถูกมิจฉาชีพเบิกถอน จึงมาร้องเรียนที่ มพบ. และมพบ. ได้ส่งเรื่องต่อมายังสภาผูบ้ริโภคเพื่อให้ช่วยเหลือด้านคดี  

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2567 ศาลแขวงระยอง ได้มีคำพิพากษายกฟ้อง  โดยสามารถสรุปสาระสำคัญได้ 4 ประการ ได้แก่ 1) หลังจากเกิดเหตุผู้บริโภครีบแจ้งธนาคารบัตรเครดิตทันที ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าผู้บริโภคได้รีบดำเนินการเมื่อทราบเหตุ แต่เมื่อ บริษัทฯ ทราบเรื่องจากผู้บริโภคแล้วกลับเพียงแจ้งให้ผู้บริโภคไปแจ้งความกับตำรวจและไม่ได้ดำเนินการอื่น เพื่อปกป้องไม่ให้เงินถูกถ่ายโอนไปยังบัญชีอื่น ๆ ต่อ 2) เงินที่ถูกโจรกรรมเป็นเงินของธนาคารบัตรเครดิตไม่ใช่เงินของผู้บริโภคฯ

3) ธนาคารบัตรเครดิตฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการทางการเงินและเป็นจ้าของเงินที่ถูกคนร้ายโจรกรรมไป สามารถสร้างเครือข่ายร่วมกับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นเพื่อระงับหรืออายัดเงินดังกล่าวไว้ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบได้ แต่กลับไม่รวมกลุ่มกันเพื่อยกระดับการป้องกันภัยทุจริตดังกล่าว

และ 4) แนวนโยบายการบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุถึงเรื่องการบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านบัตร โดยข้อ 3.2 กำหนดชัดเจนว่า “กรณีเหตุการณ์ทุจริตที่มีผู้ถือบัตรได้รับความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมชำระเงินผ่านบัตร และมีเหตุอันเชื่อได้ว่าไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ถือบัตรหรือผู้ถือบัตรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ให้บริการต้องเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ถือบัตรอย่างครบถ้วน” ดังนั้น เป็นความรับผิดชอบของธนาคารบัตรเครดิตฯ ที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ควรมาฟ้องผู้บริโภคต่อศาล

โสภณ หนูรัตน์

หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองฯ กล่าวย้ำว่า การที่ธนาคารบัตรเครดิตฯ ฟ้องร้องผู้บริโภคในครั้งนี้ ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามมาตร 12 ของพ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ศาลจึงมีคำสั่งยกฟ้อง นอกจากนี้นายโสภณยังมองว่าการเรียกร้องให้ผู้บริโภคซึ่งเป็นลูกค้าให้รับผิด เป็นการใช้สิทธิโดยไม่เป็นธรรมและทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญาอันเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภค  เนื่องจากผู้บริโภคไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมการเงินด้วยตัวเอง และเงินที่โอนออกไปไม่ใช่เงินของผู้บริโภค จึงไม่ควรผลักภาระให้ผู้บริโภครับผิดชอบหนี้สินบัตรเครดิตได้

“คำพิพากษาของศาลแขวงระยอง ถือเป็นมาตรฐานในการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งกำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะต้องมีความรับผิดชอบต่อเงินที่ถูกโอนออกไปจากภัยทุจริตทางการเงินเอง ไม่ใช่มาฟ้องคดีให้ผู้บริโภครับผิด และคำพิพากษานี้ยังย้ำถึงหน้าที่ของธนาคารที่ต้องสร้างเครือข่าย ร่วมกับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นเพื่อระงับ ยับยั้ง หรืออายัดเงินที่ลูกค้าผู้ถือบัตรได้แจ้งเหตุว่าถูกมิจฉาชีพหลอกลวงไว้ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบโดยง่าย และย้ำอีกว่าธนาคารต้องทำตามประกาศของแบงก์ชาติ จึงเห็นว่าธนาคารทุกธนาคาร สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการบัตรเครดิต ต้องยึดคำพิพากษานี้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และไม่ควรอุทธรณ์คดี” โสภณกล่าวและว่า ข้อสังเกตหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคคือ หากผู้บริโภคโดนมิจฉาชีพดูดเงินต้องรีบแจ้งธนาคารและแจ้งความกับตำรวจทันที ซึ่งจะช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ใจของผู้บริโภคว่าไม่ใช่ผู้ทำธุรกรรม และเป็นข้อสำคัญที่จะใช้ต่อสู้ในคดีด้วย

สำหรับรายละเอียดของคดีดังกล่าว โสภณเล่าว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ผู้บริโภคได้รับโทรศัพท์จากมิจฉาชีพที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน แจ้งเตือนว่าผู้ร้องต้องชำระภาษีที่อยู่อาศัยเป็นวันสุดท้าย โดยเสนอให้ชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ บุคคลที่โทรศัพท์มามีข้อมูลเกี่ยวกับเลขที่โฉนดที่ดินของผู้บริโภค ทำให้หลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริง

จากนั้นผู้บริโภครายดังกล่าวได้เพิ่มเพื่อนผ่านแอปฯ ไลน์และทำตามขั้นตอนที่มิจฉาชีพแนะนำ โดยกดลิงก์เพื่อดาวน์โหลดแอปฯ และกรอกข้อมูลส่วนตัว ระหว่างกระบวนการยืนยันตัวตน ผู้บริโภคเกิดสงสัยและหยุดดำเนินการพร้อมปิดโทรศัพท์ แต่พบว่าในช่วงเวลาดังกล่าว บัตรเครดิตของตัวเองถูกใช้ในการขอเพิ่มวงเงินและเบิกถอนเงินสด 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 35,000 บาท ซึ่งถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยของผู้บริโภคเอง จากนั้นเงินถูกโอนออกไปยังบัญชีบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก

โสภณ กล่าวอีกว่า หลังจากรู้ตัวผู้บริโภคพยายามขอความช่วยเหลือจากผู้ให้บริการบัตรเครดิต แต่ได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งความเพียงอย่างเดียว จึงได้ดำเนินการแจ้งความกับตำรวจและร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสภาผู้บริโภค ทั้งนี้ ผู้บริโภคยืนยันว่าหนี้บัตรเครดิตดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการกระทำของตัวเอง แต่เกิดจากการถูกมิจฉาชีพนำข้อมูลไปใช้ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองการดำเนินคดี สภาผู้บริโภค ได้พิจารณาหลักฐานและข้อเท็จจริงแล้ว จึงมีมติให้ช่วยเหลือผู้บริโภครายดังกล่าว ในด้านการดำเนินคดีโดยได้แต่งตั้งทนายความเข้าช่วยเหลือจนกระทั่งศาลยกฟ้องในที่สุด