ค้านแก้ไข กฎหมายควบคุมอาคาร เหตุเอื้อประโยชน์เอกชน

สภาผู้บริโภค จี้กรมโยธาฯ ยุติการแก้ไข กฎหมายควบคุมอาคาร (กฎกระทรวงฉบับที่ 33) เหตุเอื้อประโยชน์เอกชน ขัดเจตนารมณ์ของกฎหมาย

วันที่ 9 มีนาคม 2568 สภาผู้บริโภคจัดแถลงข่าวเพื่อแสดงจุดยืนว่า สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าคัดค้านการแก้ไขกฎกระทรวง ในพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง เนื่องจากการแก้ไขดังกล่าวอาจเอื้อประโยชน์ให้แก่ภาคเอกชนในการก่อสร้างอาคารสูงในพื้นที่ชุมชนที่มีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยต่อชุมชนและผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง

ค้านแก้ไข กฎหมายควบคุมอาคาร เหตุเอื้อประโยชน์เอกชน : สารี อ๋องสมหวัง

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนไม่น้อยเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารสูงในซอยแคบ โดยยกตัวอย่างกรณี “ดิเอทัส” ในซอยร่วมฤดีซึ่งมีข้อพิพาทเรื่องความกว้างของถนนตลอดแนวที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ตั้งแต่เมื่อปี 2548 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน และหลังจากมีการฟ้องร้องเป็นคดีความ ในท้ายที่สุดศาลมีคำพิพากษาให้รื้อถอนอาคาร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557

แต่ปัจจุบันผ่านไปกว่า 10 ปี ยังไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลดังกล่าวได้ และจากการนำเรื่องดังกล่าวมาร่วมอภิปรายในงานถอดบทเรียน “10 ปี ดิเอทัส (The Aetas) กับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด” ที่จัดขึ้นโดยสภาผู้บริโภคในช่วงปลายเดือนมกราคม ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับปากว่าจะเดินหน้ารื้อถอนอาคารดังกล่าว แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

นอกจากนี้ ยังมีกรณีตึกสูงซอยแคบในอีกหลายพื้นที่ เช่น ซอยประดิพัทธ์ 23 ซอยพลหโยธิน 37 ซอยพหลโยธิน 43 และอื่น ๆ ซึ่งมีประเด็นเรื่องการวัดเขตทาง การทำ EIA ซึ่งในบางพื้นที่มีฟ้องคดีเช่นเดียวกันและยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคพยายามติดต่อเพื่อเข้า อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองแต่กลับได้รับการตอบรับว่ามอบหมายสำนักงานควบคุมอาคาร แต่สภาฯต้องการเข้าพบเพื่อพูดคุยเรื่องการแก้กฎกระทรวง จึงเห็นว่าควรต้องหารือโดยตรงกับอธิบดีกรมโยธาฯ

“การแก้ไขครั้งนี้ไม่ได้คำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยเป็นหลัก แต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้มีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรอบ จึงขอให้กรมโยธาฯ ยุติการแก้ไขกฎกระทรวง ที่จะทำให้การอนุญาตให้สร้างอาคารสูง / อาคารขนาดใหญ่พิเศษ สามารถสร้างได้ในซอยที่แคบกว่าเดิม และฝากถึงกระทรวงมหาดไทย ให้กำกับไม่ให้กรมโยธาเดินหน้าแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เพราะถ้าแก้แล้วไม่ดี อย่าแก้ดีกว่า” เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภคกล่าวทิ้งท้าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เร่ง กทม. ทุบ ดิเอทัส หลังยืดเยื้อ 10 ปี ย้ำกฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์

ฟ้องหยุด “ตึกสูงซอยแคบ” และ จนท.รัฐ ละเลยหน้าที่

ค้านแก้ไข กฎหมายควบคุมอาคาร เหตุเอื้อประโยชน์เอกชน : ก้องศักดิ์ สหะศักดิ์มนตรี

ก้องศักดิ์ สหะศักดิ์มนตรี อนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์ และที่อยู่อาศัย สภาผู้บริโภค กล่าวว่าหลังจากทราบว่าจะมีการแก้กฎกระทรวง ดังกล่าว ได้เข้าไปดูรายงานของกรมโยธาธิการ พบว่ามีประชาชนจำนวน
33 คน ที่ร่วมแสดงความเห็นต่อการแก้ไขกฎหมาย โดยมี 32 คน เห็นด้วย และอีก 1 คน ไม่เห็นด้วย พร้อมตั้งคำถามว่ามีประชาชนสักคนที่รับรู้เรื่องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และคนที่เห็นตัวกับกฎหมายฉบับดังกล่าวคือใคร เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างอาคารสูงในซอยแคบหรือไม่

ก้องศักดิ์กล่าวต่ออีกว่า การแก้ไขเพิ่มเติมข้อความต่าง ๆ ในร่างฯ กฏกระทรวงครั้งนี้ ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายควบคุมอาคาร และเนื้อหาที่จะกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคใน 4 ประเด็น ได้แก่

การเอื้อประโยชน์ผู้ประกอบการเพิ่มความหนาแน่นจากการก่อสร้างเข้าไปในพื้นที่ชุมชน ที่มีระยะความกว้างถนนทางเข้า-ออก หน้าพื้นที่ก่อสร้าง ที่มีระยะไม่เท่ากันตลอดทั้งสาย

เดิมกฎหมายกำหนดให้การก่อสร้างอาคารสูง หรือ อาคารขนาดใหญ่พิเศษ ต้องมีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 หรือ 18 เมตร และ “ยาวต่อเนื่องกันโดยตลอด” จนไปเชื่อมต่อกับถนนสาธารณะอื่นที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 10 หรือ 18 เมตร แต่มีการปรับแก้โดยเพิ่มคำว่า “ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง” ที่จะส่งผลให้ สามารถสร้างอาคารสูง หรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ
ในพื้นที่ที่มีถนนทางเข้าออกที่เชื่อมกับถนนสาธารณะที่มีระยะความกว้างเขตทางกว้างไม่ถึง 10 หรือ 18 เมตรได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบใด ๆ ต่อชุมชน ผู้อยู่อาศัย ที่อยู่ถัดไปบนถนนสายเดียวกัน ทั้งในเรื่องการแย่งสาธารณูปโภค ความหนาแน่นของคน การจราจร และมลภาวะที่เพิ่มขึ้น

2) การลดทอนมาตรฐานความปลอดภัยในการเข้าระงับอัคคีภัย มีการแก้ไขให้ อาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีพื้นที่ขนาด 10,000 – 30,000 ตารางเมตรสามารถสร้างอยู่ในซอยที่มี “ความกว้างผิวจราจร” ซึ่งหมายถึงพื้นที่ถนนที่รถยนต์สามารถวิ่งได้ เพียง 6 เมตร ทั้งที่ความเป็นจริง การเข้าระงับอัคคีภัยในอาคารขนาดใหญ่ ควรมีถนนที่มีความกว้างผิวจราจรที่ไม่น้อยกว่า 8 เมตร เพื่อรองรับการทำงานของรถดับเพลิงที่มีขนาดใหญ่และรถกู้ภัย ที่จะเข้าบรรเทาเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รวมถึง การกำหนดว่า “ความกว้างผิวจราจร” เพียง 12 เมตร ก็สามารถสร้างอาคารที่มีพื้นที่ขนาดมากกว่า 30,000 ตารางเมตรขึ้นไปได้ ซึ่งระยะความกว้างผิวจราจรที่กำหนดเพิ่มขึ้นมา ไม่สอดคล้องในการเข้าทำงานช่วยเหลือระงับเหตุอัคคีภัย แต่กลับเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้อาคารขนาดใหญ่พื้นที่มากมาย สามารถแทรกตัวเข้าไปสร้างในชุมชนที่มีผิวการจราจรที่แคบได้มากขึ้น

3) การเพิ่มเงื่อนไขที่จะทำให้สร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษ / อาคารสูง ในที่ตาบอดได้ โดยกำหนดว่าอาคารที่ไม่มีที่ดินด้านใดด้านหนึ่งติดถนนสาธารณะ แต่มี “ที่ดินอื่น” ที่สามารถใช้ประโยชน์เป็นทางเข้าออกของรถดับเพลิง ที่มีความกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร ยาวต่อเนื่องกันโดยตลอดจากถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างตามกำหนดที่สร้างอาคารสูงได้ จนถึงบริเวณที่ตั้งของอาคาร โดยการแก้ไขข้อกฎหมายในลักษณะนี้เป็นการสร้างผลกระทบให้แก่ชุมชนคนรอบข้างที่ตาบอดแปลงนี้ทันที ทั้งที่เดิมศักยภาพของที่ดินประเภทนี้ ไม่สามารถสร้างอาคารสูงได้

4. การแก้ไขกฎหมายขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ผ่านมาการอนุญาตก่อสร้างตามการตีความกฎหมายเดิมที่มีอยู่ ในเรื่องอาคารสูง หรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ได้สร้างปัญหาความเดือดร้อน และผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่การแก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้ จะต้องนำข้อมูล ข้อเท็จจริง และปัญหาที่เกิดขึ้น จากการรับฟังความเห็นจากประชาชนและองค์กรตัวแทนของผู้บริโภคที่รับเรื่องร้องเรียน เพื่อไปใช้ในการวิเคราะห์ ประมวลผล ที่จะนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายที่ตอบสนองต่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง

“เราขอทวงคืนสิทธิการมีส่วนร่วมหากต้องการจะแก้ไขกฎหมาย และก่อนจะแก้ไขกฎหมาย ขอให้บังคับใช้กฎหมายเดิมที่มีอยู่ให้ได้เสียก่อน ทั้ง พ.ร.บ. ผังเมืองและกฎหมายควบคุมอาคาร ถูกปรับแก้เนื้อหาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค อีกทั้งผู้บริโภคไม่ได้รับรู้และแทบไม่มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น นำไปสู่คำถามในใจประชาชนว่า การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ทำเพื่อใคร” ก้องศักดิ์ระบุ

ค้านแก้ไข กฎหมายควบคุมอาคาร เหตุเอื้อประโยชน์เอกชน : ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี

ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า  โดยปกติแล้ว การแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมายต้องก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณธและประชาชน ขณะที่การแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ในครั้งนี้ กลับทำให้เกิดการสร้างอาคารขนาดใหญ่จำนวนมากในซอยเล็กซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบและสร้างภาระให้กับประชาชน

ดร.อรรถวิชช์ ยกตัวอย่างถึงคำนิยามเกี่ยวกับกฎหมายอาคารในต่างประเทศ โดยคำว่า “เขตทาง” ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Right of way ซึ่งหมายถึงทางที่ประชาชนมีสิทธิในการสัญจรได้ จึงไม่ควรนับรวมกระถางต้นไม้ คูน้ำ และสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ทั้งนี้ การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวกลับนับรวมสิ่งกีดขวางต่าง ๆ อยู่ในเขตทางด้วย ซึ่งเป็นการตีความคล้ายกับ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 แต่ก็เป็นการตีความเรื่องเขตทางที่ผิดเพี้ยนและไม่เป็นไปตามหลักความเป็นจริง

“เราต้องค้านกฎหมายฉบับนี้ให้ถึงที่สุด ไม่งั้นจะเป็นกฎหมายที่ปิดปากประชาชน เนื่องจากปัจจุบัน เมื่อมีกรณีพิพาท มีการฟ้องร้อง ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงว่าถนนกว้างพอเป็นไปตามกฎหมายกำหนดหรือไม่ แต่หากแก้กฎกระทรวงฯ ให้เป็นไปตามฉบับแก้ไขของกรมโยธาฯ จะกลายเป็นการปิดปากและทำให้ประชาชนหมดหนทางในการต่อสู้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เอาเปรียบประชาชน”

นอกจากนี้ ในเวทียังมีการสะท้อนปัญหาจากผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างอาคารสูงในซอยแคบ เรื่องการกำหนดเขตทาง ความกว้างถนน ซึ่งต้องคำนึงถึงอุบัติภัยที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากเมื่อเป็นอาคารขนาดใหญ่ เมื่อเกิดไฟไหม้ ในความเป็นจริงรถดับเพลิงจะไม่ได้มีแค่คันเดียวที่ต้องเข้าไปในอาคารดังกล่าว อยากให้ดูเรื่องเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วย “ถ้ามีการผ่านกฎหมายฉบับนี้ ชัดเจนว่าจะมีการเปลี่ยนเกมทั้งหมด สิ่งที่เคยทำไม่ได้ก็จะทำได้ตามกฎหมาย”

ในกรณีที่ผู้บริโภคที่พบเจอปัญหาหรือได้รับผลกระทบจากการสร้างอาคารสูงไม่ถูกกฎหมายหรืออาคารสูงในซอยแคบ สามารถปรึกษา ร้องเรียน หรือแจ้งเบาะแสมายังสภาผู้บริโภคได้ที่สายด่วน 1502 เฟซุบุ๊กแฟนเพจ สภาองค์กรของผู้บริโภค ไลน์ออฟิเชียล (Line Official) @tccthailand หรืออีเมล [email protected]