ภาคประชาสังคมค้านกรมทรัพย์สินทางปัญญา ยื่นแก้ (ร่าง) พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฉบับแก้ไข หวั่นกระทบผู้บริโภคเข้าถึงยาแพงขึ้น
วันนี้ (8 กรกฎาคม 2564) เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล ผู้จัดการโครงการส่งเสริมการเข้าถึงยา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ควรเสนอแก้ไขให้การประกาศบังคับใช้สิทธิ (Compulsory Licensing, CL) ทำได้ยากขึ้น อีกทั้งการเสนอแก้ไขดังกล่าวสะท้อนว่ากรมทรัพย์สินฯ ไม่เห็นค่าชีวิตคนที่ต้องแลกกับการคุ้มครองการผูกขาดด้วยสิทธิบัตร จึงหวังว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภาที่จะพิจารณาร่างแก้ไขกฎหมายนี้จะมองเห็นบทเรียนกรณีโควิด-19 ว่า ระบบสิทธิบัตรที่เป็นอยู่ทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงวัคซีนและยาจำเป็นอย่างไร ซึ่ง ครม. ต้องไม่รับร่างแก้ไขกฎหมายที่มัดมือมัดเท้าตัวเองในการช่วยเหลือประชาชนยามวิกฤต
“พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ฉบับแก้ไขนี้ถูกปรับแก้และรับฟังความคิดเห็นมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งจะเห็นว่ามาตราที่เกี่ยวกับซีแอลนั้นยิ่งแก้กลับยิ่งเลวร้ายลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของประเทศยามวิกฤตในอนาคตอย่างแน่นอน และเราอาจไม่ได้เห็นการประกาศใช้ในยามที่ประเทศจำเป็นต้องประกาศใช้ซีแอล” เฉลิมศักดิ์กล่าว
ผู้จัดการโครงการส่งเสริมการเข้าถึงยา กล่าวอีกว่า ในร่าง พ.ร.บ. สิทธิบัตรฉบับแก้ไขที่เตรียมนำเสนอต่อ ครม. คือ แก้ไขมาตรา 51 ของ พ.ร.บ.สิทธิบัตรฉบับปัจจุบันที่เกี่ยวกับการใช้มาตรการซีแอล ถูกเสนอให้แก้ไขโดยให้การประกาศใช้ซีแอลโดยกระทรวง ทบวง หรือกรมต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม.ก่อน และผู้ทรงสิทธิบัตรสามารถยื่นคัดค้านคำสั่งประกาศใช้ซีแอลต่อศาลได้ รวมถึงร้องขอต่อศาลเพื่อยกเลิกคำสั่งการประกาศใช้ซีแอลเมื่อเหตุแห่งการใช้สิทธิหมดไป
อย่างไรก็ตาม นายเจด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เคยส่งจดหมายถึงอธิบดีกรมทรัพย์สินฯ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 โดยระบุว่าการแก้ไขดังกล่าวอาจส่งผลต่อการเข้าถึงยาจำเป็นของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มยาที่มีราคาแพงและมีผลต่อชีวิตผู้ป่วย ภาระค่ารักษาพยาบาลในครัวเรือน และภาระงบประมาณด้านสาธารณสุขในภาพรวมของประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ยาโครพิโดเกรล ยารักษาที่ใช้กับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบตันและกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งยาต้นแบบมีราคาเม็ดละ 70 บาท เมื่อมีการประกาศใช้ซีแอลทำให้ไทยนำเข้ายาชนิดเดียวกันที่เป็นยาชื่อสามัญในราคาเพียงเม็ดละ 2.50 – 5 บาท ปัจจุบันมีผู้ป่วยรับประทานยานี้เป็นประจำทุกวัน 160,000 ราย สามารถลดค่าใช้จ่ายจากยาต้นแบบ 2,000 ล้านบาทต่อปีเหลือเพียง 60 ล้านบาทต่อปี
ที่ผ่านมา ประเทศไทยประกาศใช้ซีแอล 3 ครั้งในช่วงปี 2549 – 2550 กับยา 7 ชนิดที่ใช้รักษาเอชไอวี โรคหลอดเลือดตีบตัน และโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นการประกาศใช้ภายใต้เงื่อนไขเพื่อประโยชน์สาธารณะโดยไม่แสวงหากำไร ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศสามารถจัดหายาเหล่านั้นโดยการนำเข้าและผลิตภายในประเทศให้กับผู้ป่วยหลายแสนคน ช่วยให้ประเทศประหยัดงบประมาณด้านยาได้หลายพันล้านบาทในแต่ละปี รวมถึงทำให้สามารถนำยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ประกาศใช้ซีแอลไปและผลิตเองได้ มาปรับใช้รักษาโควิด-19 ในช่วงการระบาดในไทยระลอกแรกได้