
การมี “ตั๋วร่วม” จะช่วยให้เราเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะทุกประเภทได้ด้วยบัตรเดียว ลดความยุ่งยากและค่าใช้จ่าย ปัญหาคือ แม้ว่าหลาย ๆ รัฐบาลที่ผ่านมาจะพยายามผลักดันระบบตั๋วร่วมให้เกิดขึ้น แต่ยังติดปัญหาด้านการบริหารจัดการ อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ. ตั๋วร่วม ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ฝันเรื่องการเดินทางที่สะดวกและเป็นธรรมของคนไทยเป็นจริง
นโยบาย “ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาททุกสีทุกสาย ภายในเดือนกันยายน ปี 2568” เป็นสัญญาณที่ดี ว่ารัฐบาลเริ่มมองเห็นและให้ความสำคัญกับเรื่องระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน แต่รู้ไหมว่า…มีอีกนโยบายหนึ่งที่รัฐควรผลักดันไปพร้อม ๆ กับการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า นั่นก็คือ ตั๋วร่วม ที่จะช่วยลดค่าเดินทาง และให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะทุกคนได้อย่างแท้จริง
ตั๋วร่วม คืออะไร? ดีอย่างไร?
ตั๋วร่วม คือ ระบบที่ทำให้เราสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบได้ ทั้งรถโดยสาร (รถเมล์) รถไฟฟ้า เรือ ฯลฯ โดยใช้แค่ บัตรใบเดียว ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้บริการขนส่งอย่างยิ่งเพราะเชื่อว่าทุกวันนี้หลาย ๆ คนคงไม่ได้เดินทางแค่ต่อเดียวอย่างแน่นอน ทั้งรถเมล์ ต่อบีทีเอส ลงเอ็มอาร์ที ซ้อนท้ายวินมอเตอร์ไซต์ หรือแม้กระทั่งโหนสองแถว
การมีตั๋วร่วมจะช่วยให้เราจ่ายค่าขนส่งสาธารณะได้โดยพกแค่บัตรใบเดียว ไม่ต้องพก 1 ใบต่อ 1 ขนส่งแบบในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังทำให้รัฐสามารถกำหนดโครงสร้างค่าโดยสารที่ยุติธรรมและลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ด้วย แต่ในระยะแรกของการทำระบบตั๋วร่วม อาจจะต้องเริ่มจากการเชื่อมโยงขนส่งสาธารณะในระบบเดียวกันให้เกิดขึ้นเสียก่อน ซึ่งระบบที่มีความเป็นไปได้ที่สุดในขณะนี้ก็คือ รถไฟฟ้า ยกตัวอย่างเช่น
- ทุกวันนี้ ถ้าเราจะเดินทางจากดอนเมืองไปบางนา โดยใช้รถไฟฟ้า ต้องขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดงจากสถานีดอนเมืองไปลงบางซื่อ (7 สถานี 20 บาท) ต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินหรือเอ็มอาร์ที จากสถานีบางซื่อไปลงสุขุมวิท (11 สถานี 42 บาท) แล้วยังต้องขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวหรือบีทีเอส จากสถานีอโศกไปบางนา (10 สถานี 50 บาท) รวมต้องใช้เงิน 112 บาทต่อ 1 เที่ยว
- ถ้ามีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาททุกสีทุกสาย ถ้าเราจะเดินทางจากดอนเมืองไปบางนา โดยใช้รถไฟฟ้า ต้องขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดงจากสถานีดอนเมืองไปลงบางซื่อ (20 บาท) ต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินหรือเอ็มอาร์ที จากสถานีบางซื่อไปลงสุขุมวิท (20 บาท) แล้วยังต้องขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวหรือบีทีเอส จากสถานีอโศกไปบางนา (20 บาท) รวมต้องใช้เงิน 60 บาทต่อ 1 เที่ยว
- ถ้ามีนโยบายตั๋วร่วม เราจะได้ใช้ขนส่งสาธารณะในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม! หมายถึง ถ้าเราจะจ่ายค่าเดินทางจากดอนเมืองไปบางนา โดยคำนวณจากจำนวนสถานี ซึ่งจะทำให้เกิด ‘ค่าโดยสารร่วม’ คือทุกเจ้าใช้ตารางราคาละวิธีคำนวณค่าโดยสารเหมือนกัน และรัฐบาลก็สามารถกำหนดค่าโดยสารสูงสุดของขนส่งแต่ละประเภทได้ เช่น สมมติว่า รัฐกำหนดให้ค่ารถไฟฟ้าทุกสีทุกสายรวมกัน ต้องไม่เกิน 40 บาทใน 1 เที่ยวการเดินทาง นั่นแปลว่าไม่ว่าเราจะต้องขึ้นลงรถไฟฟ้าสักกี่สายเพื่อให้ไปถึงจุดหมาย เราก็จะเสียเงินไม่เกิน 40 บาท
ทั้งนี้ หากมีการพัฒนาระบบตั๋วร่วมต่อไปเรื่อย ๆ อาจกำหนดให้มีส่วนลดสำหรับการใช้ระบบขนส่งสาธารณะหลายระบบเชื่อมต่อกัน เช่น ขึ้นรถไฟฟ้าไปต่อรถเมล์ จะได้ขึ้นรถเมล์ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม เป็นต้น
เส้นทางตั๋วร่วมในไทย – ทำไมยังเป็นแค่ฝัน?
แนวคิดเรื่องตั๋วร่วมในไทย ถูกพูดถึงอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรก ในปี 2550 หรือเมื่อ 18 ปีก่อน โดยกระทรวงคมนาคมได้พูดคุยและวางแผนเรื่องการพัฒนาระบบตั๋วร่วม กับบริษัทและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น บีทีเอส องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย และแบงก์ชาติ จากนั้นก็มีความพยายามพัฒนาตั๋วร่วมในรูปแบบต่าง ๆ
กระทั่งปี 2561 ประเทศไทย เปิดตัวระบบตั๋วร่วมที่เรียกว่า “บัตรแมงมุม (MANGMOOM)”ซึ่งมีแนวคิดว่าจะใช้เชื่อมต่อการเดินทางในระบบขนส่งมวลชนทุกสาย ทุกประเภทเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถไฟฟ้า เรือ หรือสามารถใช้ซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อได้เหมือนกับต่างประเทศ และยังรองรับสวัสดิการแห่งรัฐ (National E-Payment) อีกด้วย แต่ในตอนที่เปิดตัวบัตรแมงมุมกลับใช้ได้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสีม่วงเท่านั้น
สุดท้ายบัตรแมงมุมก็ไปต่อไม่ไหว เนื่องจากขนส่งสาธารณะแต่ละแบบแต่ละสายนั้นในช่วงเวลานั้นมีเจ้าของเป็นคนละหน่วยงานเช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียวหรือบีทีเอส ดำเนินการโดยบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและม่วง หรือเอ็มอาร์ที ดำเนินการโดย บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)ส่วนรถเมล์ก็มีทั้งขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และรถร่วมของเอกชนซึ่งแต่ละขนส่งก็มีระบบการเก็บเงินที่แตกต่างกัน จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบให้เป็นแบบเดียวกันเพื่อรองรับบัตรแมงมุม
อีกทั้งในระหว่างที่พัฒนาเรื่องบัตรแมงมุม ก็มีแนวคิดใหม่เรื่องการปรับปรุงระบบตั๋วร่วมเป็นระบบเปิด แบบ EMV ซึ่งย่อมาจาก Europay, Mastercard and Visa พูดง่าย ๆ ก็คือเอาบัตรเครดิตหรือเดบิต วีซ่า / มาสเตอร์การ์ดที่มีอยู่แล้วมาใช้แตะผ่านประตูได้เลยซึ่งสะดวก และไม่ต้องมีต้นทุนการผลิตบัตรใหม่ เอกชนจึงเลือกที่จะรอและปรับปรุงระบบให้รองรับ EMV
แม้จะดูสะดวก แต่การใช้ระบบ EMV ก็มีความยุ่งยากเรื่องการแบ่งรายได้มีการหักค่าธรรมเนียม นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องผู้บริโภคที่ไม่มีบัตรวีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด ต้องเสียเงินเพื่อไปเปิดบัตรใหม่หากต้องการใช้ระบบตั๋วร่วมซึ่งเป็นการสร้างภาระเกินสมควรให้กับผู้บริโภค รวมถึงบางครั้งอาจมีเงื่อนไขเรื่องการใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมรายปี
แต่ถึงอย่างนั้น ระบบตั๋วร่วมแบบ EMV ก็ดูจะเป็นระบบเดียวที่มาไกลที่สุด เพราะปัจจุบันเราสามารถใช้บัตรวีซ่า / มาสเตอร์การ์ด กับระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สายสีแดง สายสีเหลือง และสายสีชมพู รวมถึงรถเมล์บางสายได้แล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้บัตร EMV ก็ยังไม่ครอบคลุมขนส่งสาธารณะทุกประเภท อีกทั้งยังเน้นไปที่ขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ เท่านั้น
ความหวังเรื่อง ตั๋วร่วม ในประเทศไทย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา จึงเป็นสาเหตุที่สภาผู้บริโภคผลักดันเรื่อง ‘ตั๋วรวม’ ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย เช่น กรมการขนส่งทางการ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)และพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อให้เกิดระบบที่ทำให้ผู้บริโภคทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดได้ใช้ขนส่งสาธารณะที่สะดวกสบายและราคาเป็นธรรม
ข่าวดีก็คือ เมื่อต้นปี 2568 ครม. มีมติ รับหลักการของ ร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. (หลังจากนี้เราจะขอเรียกสั้น ๆ ว่า พ.ร.บ. ตั๋วร่วม)ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางปี 2568 ทำให้เราพอมีความหวังว่าจะมีโอกาสได้ใช้ระบบตั๋วร่วมอย่างคนอื่นเขาสักที! แต่ถึงอย่างนั้น พ.ร.บ. ตั๋วร่วม ที่ถูกยื่นเข้าสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วนั้น ก็ยังมีรายละเอียดบางอย่างที่ต้องปรับปรุง เพื่อให้ครอบคลุมและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง เช่น
- คณะกรรมการตั๋วร่วมไม่มีผู้แทนผู้บริโภค เดิมร่าง พ.ร.บ. ตั๋วร่วม พ.ศ. …. ฉบับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) นั้น กำหนดให้มีสัดส่วนผู้แทนประชาชน คือประธานสภาผู้บริโภค เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายตั๋วร่วม ซึ่งร่างฉบับดังกล่าวมีกระบวนการรับฟังความเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเรียบร้อยแล้ว แต่ พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ฉบับคณะรัฐมนตรี กลับไม่มีผู้แทนประชาชนอยู่ในคณะกรรมการด้วยทั้งที่บริการขนส่งสาธารณะนั้นเป็นบริการที่ประชาชนทุกคนควรได้ใช้ เสียงสะท้อนของผู้บริโภคจึงเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบ ดังนั้นการมีผู้แทนผู้บริโภคเข้าไปเป็นคณะกรรมการจะช่วยสะท้อนเสียงและความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค เพื่อให้เกิดระบบที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้บริการอย่างแท้จริง
- การเพิ่มผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะในฐานะผู้ใช้บริการจริงเข้าเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วมเนื่องจาก พ.ร.บ. หลายฉบับที่ออกบังคับใช้ในปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและหน่วยงานภาคนอกที่เกี่ยวข้อง
- กำหนดอัตราค่าโดยสารสูงสุดร่วมกับค่าโดยสารร่วม เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะทุกคนขึ้นได้ทุกวันของผู้บริโภค
- การเก็บอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วม ระบบตั๋วร่วมที่ไม่เหมาะสม เพราะในพ.ร.บ. ตั๋วรวมฉบับคณะรัฐมนตรี มีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาต สำหรับ 3 กรณี คือ 1) ใบอนุญาตสำหรับศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง ฉบับละ 300,000 บาท 2) ใบอนุญาตสำหรับผู้ประกอบการที่ออกบัตรโดยสาร ฉบับละ 150,000 บาท 3) ใบอนุญาตสำหรับผู้ให้บริการขนส่งผู้โดยสาร ฉบับละ 150,000 บาท
แต่สภาผู้บริโภคมีความเห็นว่าค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 1) ต่ำเกินไป เพราะศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางเป็นผู้ให้บริการหลักที่ทำหน้าที่ในการประมวลผล รับส่งข้อมูล และคำนวณปริมาณการใช้งาน รวมทั้งจำนวนเงินจากการทำธุรกรรมในระบบตั๋วร่วม ซึ่งโดยหลักการไม่ควรมีผู้ให้บริการหลายรายดังนั้นค่าธรรมเนียมจึงควรสอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ โดยสภาผู้บริโภคเสนอให้เพิ่มค่าธรรมเนียม เป็นฉบับละ500,000 บาท
ส่วนค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 3) สูงเกินไป ซึ่งอาจทำให้ผู้ให้บริการการขนส่งสาธารณะภาคเอกชนและผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะรายย่อยไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะชำระค่าธรรมเนียม ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และอาจนำไปสู่การผูกขาดโดยผู้ให้บริการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย สภาผู้บริโภคจึงเสนอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะทุกราย เพื่อเป็นแรงจูงใจและสนับสนุนให้ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะทุกรายเข้าให้บริการขนส่งในระบบตั่วร่วมโดยอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการและผลักภาระให้กับผู้บริโภค
ประเทศไหนมีระบบตั๋วร่วมบ้าง?
แนวคิดเรื่องตั๋วร่วมถูกใช้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ทั้งในเอเชีย เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น รวมไปถึงประเทศในซีกโลกอื่น ๆ เช่น ออกเตรเลีย อังฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เป็นต้น ซึ่งหลายก็ไม่ได้จำกัดประโยชน์ของตั๋วร่วมไว้แค่ขึ้นระบบขนส่งสาธารณะ หรือแค่ใช้เดินทางนะ แต่สามารถใช้ขึ้นแท็กซี่ ซื้อขนม แล้วก็ซื้อของในมินิมาร์ทต่าง ๆ ได้ด้วย และในการใช้กับระบบขนส่งสาธารณะ ก็ยังมีส่วนลดหากใช้ระบบขนส่งหลายระบบเชื่อมต่อกันด้วย เช่น ขึ้นรถไฟฟ้าไปต่อรถเมล์ จะได้ขึ้นรถเมล์ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม ซึ่งในที่นี้จะขอยกตัวอย่างสัก 2 – 3 ประเทศ ได้แก่
- สิงคโปร์ มีระบบตั๋วร่วมที่เรียกว่า อีซี่ ลิงก์ (EZ LINK)ซึ่งบัตรนี้สามารถใช้ขึ้นรถไฟฟ้า MRT รถเมล์ หรือแท็กซี่ก็ได้ และยังสามารถใช้ซื้อสินค้าตามร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ซึ่งจะได้ส่วนลดจากร้านสะดวกซื้อนั้น ๆ เมื่อจ่ายผ่านบัตรอีซี่ ลิงก์อีกด้วย
- ไต้หวัน มีระบบตั๋วร่วมหลายระบบ โดยที่ใช้ได้อย่างอเนกประสงค์มี 2 บัตร ได้แก่ อีซี่การ์ด (Easy Card) และพาส (i-Pass) สามารถใช้จ่ายค่าเดินทางขนส่งสาธารณะได้ ทั้งรถไฟทุกสาย รถบัส ทั้งยังสามารถใช้ซื้อของจากร้านสะดวกซื้อ รวมถึงการใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น เติมน้ำมัน ค่าสาธารณูปโภค ค่าอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น
- ออสเตรเลีย ตั๋วร่วมในออสเตรเลียจะมีความครอบคลุมขนส่งสาธารณะทุกชนิดภายในพื้นที่ ตั้งแต่รถบัส รถราง รถไฟ ไปจนถึงการโดยสารทางเรือ โดยระบบขนส่งสาธารณะของออสเตรเลียจะมีการจัดการแยกตามเขตพื้นที่ของรัฐต่าง ๆ เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการภายใน แต่ละรัฐจึงมีการกำหนดระบบบัตรโดยสารภายในรัฐเอาไว้เช่น ในรัฐบริสเบน มีบัตร ทรานส์ลิงก์โกการ์ด (Translink Go Card)สามารถใช้งานกับขนส่งสาธารณะได้ทั้งรถบัส รถราง รถไฟ เรือโดยสาร และมีราคาพิเศษลดค่าโดยสาร 50% สำหรับนักเรียนนักศึกษา เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความต้องการพิเศษด้วย
อ่านข้อมูลตั๋วร่วมของประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติม สามารถอ่านต่อได้ที่ ตั๋วร่วมในต่างประเทศใช้ทำอะไรได้บ้าง?
การมีตั๋วร่วม จะช่วยอำนวยความสะดวก ให้กับผู้บริโภคและเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย อย่างไรก็ตาม ระบบตั๋วร่วมที่จะเกิดขึ้น ต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานได้จริง และต้องเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้มากขึ้น ในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคอยากชวนทุกคนมาร่วมกันจับตาและทำให้ พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เวทีรับฟัง หนุน “พ.ร.บ.ตั๋วร่วม” เห็นพ้อง สภาผู้บริโภค ต้องร่วมเป็นกรรมการ
กางไทม์ไลน์ “พ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ” คาดมีผลบังคับใช้กลางปี 68
อ้างอิง
สุริยะย้ำ ภายใน ก.ย. ปีนี้ รถไฟฟ้า 20 บาททุกสีทุกสายมาแน่ ขณะสายสีแดง-ม่วง ผู้โดยสารเพิ่มทะลุนิวไฮ
ย้อนดู Timeline “ตั๋วร่วม” เมืองไทย 🕷แมงมุมติดอะไร? 🐇ทำไมแรบบิทไม่เกิด? แล้วเมื่อไหร่จะได้ใช้?
ประเภทบัตรโดยสารสาธารณะ ในไต้หวัน :
เดินทางในออสเตรเลียด้วยขนส่งสาธารณะไม่ยุ่งยาก พกบัตรใบเดียวเที่ยวได้ทั่วรัฐ !