นักกฎหมายชี้ “มติเอื้อทุน” 3:2:1 เป็นโมฆะ ประธานโหวตซ้ำไม่ได้ เข้าข่ายจงใจทำผิดกฏหมาย

จากกรณีที่คณะกรรมการกิจการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ได้มีการลงมติกรณีการขอควบรวมกิจการค่ายมือถือทรู-ดีแทค ด้วยคะแนน 3:2:1 (รับทราบ 3, ไม่อนุญาต 2 งดออกเสียง 1) และได้แจ้งผลการลงมติเป็นทางการซึ่งทำให้การควบรวมระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินไปโดยไม่ต้องผ่านการขออนุญาตต่อ กสทช. นั้น

ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักวิชาการด้านกฎหมาย ชี้ การมีมติดังกล่าวผิดกฎหมาย เหตุเพราะการลงมติครั้งแรกที่มี ผล 2:2:1 นั้นเป็นโมฆะไปแล้ว ด้วยเหตุที่ไม่มีผลโหวตที่เป็นเสียงข้างมาก และเนื่องจากมติก็ไม่ได้มีผลเท่ากับกึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดห้าคน ประธานจะโหวตจึงซ้ำไม่ได้ การโหวต “รับทราบ” ซ้ำของประธานจึงเห็นได้ว่าเป็นเจตนาอนุญาตให้เกิดการควบรวมโดยไม่ต้องขออนุญาตตามที่กฎหมายบัญญติ แม้จะมีเสียงทักท้วง และมีการวินิจฉัยจากศาลปกครอง คณะกรรมการกฤษฎีกา และอนุกรรมการของ ตรงกันว่าอีกทั้งการที่ กสทช. มีอำนาจในพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ควบรวม

“ข้อนี้จะโยงไปสู่การใช้อํานาจโดยมิชอบเพราะเท่ากับเป็นการอนุญาตโดยไม่ต้องพิจารณาว่าควรอนุญาตหรือไม่ เพราะถ้าหากพิจารณาว่าขออนุญาตหรือไม่นั้น จะมีประเด็นหลักเกณฑ์ที่อาจทําให้อนุญาตไม่ได้ จึงต้องอนุญาตด้วยวิธีการนี้ คือด้วยการตีความว่าตัวเองไม่มีอํานาจในการพิจารณา คืออนุญาตให้ควบรวมนั่นเอง ซึ่งผิดทั้งในแง่ของประเด็นที่มีมติแล้วการลงมติก็ผิดอีก เป็นความผิดหลายชั้นมาก” ผศ.ดร. ปริญญาเน้นย้ำ “เรื่องนี้เราต้อง ต้องไปให้ถึงศาลปกครองนะครับ และอย่าลืมว่า สุดท้ายแล้วหากไม่เกิดการแข่งขันประชาชนต้องจ่ายเงิน เพื่อใช้คลื่นความถี่ ที่เป็นสมบัติของประชาชนเองในราคาที่แพงขึ้น กสทช. ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้”

ภายหลังจากการมีมติดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ได้มีเสียงเรียกร้องจากหลายภาคส่วนให้ประชาชนร่วมกันฟ้องร้องต่อ กสทช. อย่าปล่อยให้เกิดการรวมระหว่างสองบริษัทที่จะทำให้เกิดผลร้ายต่อระบบเศรษฐกิจ ภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และสิทธิการเข้าถึงคลื่นความถี่ ซึ่งสภาองค์กรของผู้บริโภคได้อยู่ระหว่างการดำเนินการเตรียมคำร้องขอเพิกถอนมติ กสทช. และขอไต่สวนคุ้มครองฉุกเฉินเมื่อวันที่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

และเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565  ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนา “ย้อนรอยอำนาจ กสทช. : หลังมติให้ควบรวม ทรู – ดีแทค” ขึ้นโดยมี ผศ.ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อารีวรรณ จตุทอง กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค กสทช., จิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินการธนาคาร สภาองค์กรของผู้บริโภค และพิภพ ธงไชย อดีตประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และเลขาธิการอาสามูลนิธิเด็ก ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ทั้งนี้ ผศ.ดร. ปริญญา มีความเห็นว่าการลงมติของ กรรมการ กสทช. เข้าข่ายมาตรา 235 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งระบุว่า ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีการกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ไต่สวนข้อเท็จจริง และหากเห็นว่ามีพฤติการณ์หรือกระทำความผิดตามที่ไต่สวนก็สามารถฟ้องคดีต่อศาล หรือดำเนินการอื่นตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้

กรณีโหวตซ้ำ ผศ.ดร. ปริญญา อธิบายเพิ่มเติมว่า กรณีที่ประธานจะลงคะแนนเสียงเพื่อชี้ขาดได้คือคะแนนเสียงที่ประชุมเท่ากันและไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด เช่น กรรมการ กสทช. มี 4 คน แล้วลงมติ 2:2 คะแนนเสียง หรือ มีกรรมการ 6 คน แล้วลงมติ 3:3 เป็นต้น ทั้งนี้ การพิจารณาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม มีกรรมการเพียง 2 เสียงที่ลงมติรับทราบ ซึ่งน้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ดังนั้น ประธานสามารถออกเสียงเพิ่มเพื่อชี้ขาดไม่ได้ มติดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่แรก

นอกจากนี้ ผศ.ดร.ปริญญา ตั้งข้อสังเกตว่า กสทช. ได้ส่งให้ศาลปกครองและคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความเกี่ยวกับอำนาจของ กสทช. เอง ซึ่งศาลปกครองและกฤษฎีกาก็ได้มีคำสั่งว่า กสทช. มีอำนาจพิจารณาเรื่องดังกล่าว และกสทช. มีอำนาจห้ามการควบรวมได้ ยังไม่นับรวมองค์กรของผู้บริโภค รวมถึงนักวิชาการ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่ออกมาบอกว่า กสทช. มีอำนาจพิจารณาเรื่องควบรวม ดังนั้น หากจะบอกว่า กสทช. ไม่ทราบว่าตัวเองมีอำนาจก็คงจะไม่ได้

“ถ้าหาก กสทช. ทำหน้าที่อันพึงกระทำ เราคงไม่ต้องจัดเวทีเสวนา หรือฟ้องร้องศาลปกครอง สิ่งที่ประชาชนทำทั้งหมดนี้ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย นอกจากให้ กสทช. ทำหน้าที่ปกป้องประโยชน์สาธารณะซึ่งเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย” ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวทิ้งท้าย

จิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินการธนาคาร สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า จากการลงมติ กสทช. ที่รับทราบและให้ทรู-ดีแทคควบรวมกิจการโทรคมนาคมนั้น มีข้อสังเกตถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสองส่วน ได้แก่ ขั้นตอนก่อนที่จะลงมติให้ควบรวมกิจการเป็นกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากการควบรวมกิจการดังกล่าวเป็นส่งผลกระทบกับคนจำนวนมากทั้งราคาค่าบริการที่สูงขึ้นหรือทางเลือกในการใช้บริการลดลงเหลือเพียงสองค่าย อีกทั้งประเด็นที่มีการตั้งคำถามว่า กสทช. ได้จัดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนแล้วหรือไม่ ซึ่งหากไม่ได้มีการจัดรับฟังความคิดเห็นแสดงว่ากระบวนการลงมติรับทราบการควบรวมกิจการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

รวมถึงประเด็นความไม่โปร่งใสในการจัดจ้างที่ปรึกษาอิสระ ซึ่งจากข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ มีการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและความอิสระ เพราะอาจมีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวโยงกับหนึ่งในบริษัทที่ขอควบรวมกิจการ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะลงมติใด ๆ กสทช. จะต้องตอบโจทย์ข้อสงสัยหรือข้อร้องเรียนทั้งหมดก่อน หากไม่ชอบด้วยกฎหมาย กสทช. ไม่ควรมีการลงมติใด ๆ

      

“หาก กสทช. ยังตอบไม่ได้ว่ากระบวนการก่อนที่จะลงมติให้ควบรวมกิจการชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่กลับลงมติให้ควบรวมกิจการ จึงเกิดคำถามว่ากรรมการ กสทช. ใช้สิ่งใดเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจลงมติรับทราบให้ควบรวมกิจการ และหากคณะกรรมการ กสทช. ไม่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักเกณฑ์ของกฎหมายย่อมส่งผลกระทบต่อทั้งตัวคณะกรรมการและผลประโยชน์ประชาชนและประเทศโดยภาพรวม” จิณณะ กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ กสทช. จะมีมาตรการหรือเงื่อนไขออกมาหลังจากการลงมติให้ควบรวมกิจการ แต่ กสทช. การันตีได้หรือไม่ว่าเมื่อผ่านระยะเวลาที่กำหนดแล้ว บริษัทจะไม่ดำเนินการที่เป็นการผูกขาดทางการค้า ไม่มีใครรับประกันได้ หรือมีช่องว่างทางกฎหมายที่เอาเปรียบประชาชน หรือทำให้เกิดการผูกขาดได้หรือไม่ หรือมีช่องทางที่ทำให้การประมูลคลื่นความถี่อยู่ในอำนาจ หรืออยู่ในมือคนจำนวนหนึ่ง

ปัจจุบันสภาองค์กรของผู้บริโภคกำลังดำเนินการทั้งในทางปกครอง และทางอาญาต่อองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเห็นว่าการควบรวมกิจการส่งผลกระทบกับสาธารณะและส่วนรวม ทั้งประเทศและประชาชนจำนวนมากที่จะได้ใช้คลื่นความถี่ในราคาที่เป็นธรรม

ด้าน อารีวรรณ จตุทอง กรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน (กตป.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค กสทช. อธิบายถึงการทำงานของ กตป. ว่าเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รวมถึงเลขาธิการ กสทช. ในประเด็นการลงมติของ กสทช. ที่รับทราบการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่างทรู – ดีแทค พร้อมกำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะ

อารีวรรณ กล่าวอีกว่า กตป. ทำหน้าที่เหมือนกระจกที่สะท้อนภาพการทำงานของ กสทช. ว่าคุณกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วหรือไม่อย่างไร โดย กตป. จะแบ่งเป็น 5 ด้าน

ได้แก่ ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ด้านคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ด้านกิจการกระจายเสียง ด้านกิจการโทรทัศน์ และด้านกิจการโทรคมนาคม ทั้งนี้ การควบรวมดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ 2 ด้านคือ ด้านคุ้มครองผู้บริโภค และด้านกิจการโทรคมนาคม

โดยปัจจุบันอยู่ระกว่างการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งนี้ พบว่า ประชาชนที่ตื่นตัวและให้ความสนใจในเรื่องนี้ และหลังจากนี้จะมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาให้ความเห็นในเรื่องนั้น เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลาย ๆ เรื่องทั้งกฎหมาย เศรษฐกิจ โทรคมนาคม รวมทั้งจะเชิญจากสภาองค์กรของผู้บริโภค เข้ามาให้ข้อมูล ในฐานะที่เป็นตัวแทนของผู้บริโภคตามกฎหมาย

ขณะที่ พิภพ ธงไชย อดีตประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และเลขาธิการอาสามูลนิธิเด็ก กล่าวว่า ย้อนไปก่อนที่จะเกิดรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ประชาชนรวมตัวกันต่อสู้เรื่องคลื่นวิทยุ กิจการกระจายเสียง และโทรทัศน์ เพราะที่ผ่านมาคลื่นเหล่านี้ถูกรัฐควบคุมเกือบทั้งหมด จนมาถึงคลื่นมือถือมาจากการผลักดันของประชาชน และหลังจากนั้นจึงเกิดองค์กรอิสระมากมาย อาทิ กรรมการสิทธิมนุษยชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงมีเจตนารมณ์ที่ต้องการให้พรรคการเมืองไม่ถูกผูกขาด เศรษฐกิจไม่ถูกผูกขาด และเรื่องการศึกษาต้องถูกพัฒนา ให้ทุกคนเข้าถึงได้

กสทช. เป็นหนึ่งในองค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อจัดสรรคลื่นความถี่ที่เป็นสมบัติของชาติ ไม่ให้ผูกขาด กรณีที่มีความต้องการควบรวมกิจการและดีลนั้นมีแนวโน้มจะเกิดการผูกขาด ประชาชนเสียประโยชน์ เสียอำนาจต่อรอง องค์กรอิสระนี้ก็ต้องไม่อนุญาตให้ควบรวมเพื่อพิทักษ์ประโยชน์ของประชาชน ดังนั้น องค์กรอิสระทั้งหลายต้องตระหนักว่าการได้มาหรือการได้เป็นกรรมการในองค์กรอิสระนั้นเกิดมาจากเลือดเนื้อของประชาชน จึงต้องตระหนักถึงเจตนารมณ์ในการต้องมีความเป็นอิสระและใช้สติปัญญาเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน

         

“ดีลทรูดีแทคเป็นเรื่องใหญ่ระดับนโยบาย เพราะเป็นการรวมกิจการที่จะทำให้เหลือเพียง 2 รายในตลาดคลื่นมือถือ กระทบกับทุกคน ดังนั้น กสทช. ควรต้องออกแถลงการณ์ให้ชัดเจนถึงผลการโหวตในที่ลับเมื่อ 20 ต.ค.65 ออกมาให้สาธารณะรับรู้ โดยเฉพาะคำวินิจฉัยส่วนตัวของกรรมการแต่ละคน” พิภพ กล่าว

พิภพ ย้ำทิ้งท้ายไว้ว่า เศรษฐกิจผูกขาดเป็นความล้มเหลวในประเทศไทยมาโดยตลอด ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่กำลังจะกลายมาล้มเหลวในคลื่นมือถือด้วย อย่างไรก็ตาม รัฐต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะคลื่นมือถือที่ประชาชนต้องใช้ในชีวิตประจำวันกำลังจะถูกผูกขาด และรัฐต้องยืนอยู่บนฐานการไม่ผูกขาดด้วยการคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนน่าจะสามารถแก้ไขเรื่องการผูกขาดต่างๆ ได้ แต่เกิดคำถามว่ารัฐสนับสนุนให้เกิดการผูกขาดหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาเกิดการผูกขาดตลาดมากมายในไทย เช่น ซีพี-โลตัส ควบรวมกิจการค้าปลีกจนทำให้มีส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 80

#สภาองค์กรของผู้บริโภค #ผู้บริโภค